ประเภทของยาเสพติด | |
๑. ประเภทของยาเสพติด | |
จำแนกตามการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท แบ่งเป็น ๔ ประเภท | |
๓. ประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี และ เห็ดขี้ควาย เป็นต้น ผู้เสพติดจะมีอาการประสาทหลอน ฝันเฟื่องเห็นแสงสีวิจิตรพิสดาร หูแว่ว ได้ยินเสียง ประหลาดหรือเห็นภาพหลอนที่น่าเกลียดน่ากลัว ควบคุมตนเองไม่ได้ ในที่สุดมักป่วยเป็น โรคจิต | |
๔. ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน คือทั้งกระตุ้นกดและหลอนประสาทร่วมกันได้แก่ ผู้เสพติดมักมี อาการหวาดระแวง ความคิดสับสนเห็นภาพลวงตา หูแว่ว ควบคุมตนเองไม่ได้และป่วยเป็นโรคจิตได้ | |
๒. แบ่งตามแหล่งที่มา | |
แบ่งตามแหล่งที่เกิด ซึ่งจะแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ | |
๒. ยาเสพติดสังเคราะห์ (Synthetic Drugs) คือ ยาเสพติดที่ผลิตขึ้นด้วยกรรมวิธีทางเคมี เช่น เฮโรอีน แอมเฟตามีน ยาอี เอ็คตาซี เป็นต้น | |
๓. แบ่งตามกฎหมาย | |
แบ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น ๕ ประเภท คือ | |
ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๑ ได้แก่ เฮโรอีน แอลเอสดี แอมเฟตามีน หรือ ยาบ้า ยาอี หรือ ยาเลิฟ | |
ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๒ ยาเสพติดประเภทนี้สามารถนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้ แต่ต้องใช้ภายใต้ การควบคุมของแพทย์ และใช้เฉพาะกรณีที่จำเป็นเท่านั้น ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน โคเคน หรือ โคคาอีน โคเคอีน และเมทาโดน | |
ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๓ ยาเสพติดประเภทนี้ เป็นยาเสพติดให้โทษที่มียาเสพติดประเภทที่ ๒ ผสมอยู่ด้วย มีประโยชน์ทางการแพทย์ การนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์อื่น หรือเพื่อเสพติด จะมีบทลงโทษกำกับไว้ ยาเสพติดประเภทนี้ ได้แก่ ยาแก้ไอ ที่มีตัวยาโคเคอีน ยาแก้ท้องเสีย ที่มีฝิ่นผสมอยู่ด้วย ยาฉีดระงับปวดต่าง ๆ เช่น มอร์ฟีน เพทิดีน ซึ่งสกัดมาจากฝิ่น | |
ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๔ คือสารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๑ หรือประเภทที่ ๒ ยาเสพติดประเภทนี้ไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์ในการบำบัดโรคแต่อย่างใด และมีบทลงโทษกำกับไว้ด้วย ได้แก่น้ำยาอะเซติคแอนไฮไดรย์ และ อะเซติลคลอไรด์ ซึ่งใช้ในการเปลี่ยน มอร์ฟีน เป็น เฮโรอีน สารคลอซูไดอีเฟครีน สามารถใช้ในการผลิต ยาบ้า ได้ และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทอีก ๑๒ ชนิด ที่สามารถนำมาผลิตยาอีและยาบ้าได้ | |
ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๕ เป็นยาเสพติดให้โทษที่มิได้เข้าข่ายอยู่ในยาเสพติดประเภทที่ ๑ ถึง ๔ ได้แก่ ทุกส่วนของพืช กัญชา ทุกส่วนของพืช กระท่อม เห็ดขี้ควาย เป็นต้น | |
๑. สาเหตุที่เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ | |||||||||||||
จำแนกตามการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท แบ่งเป็น ๔ ประเภท | |||||||||||||
๑. อยากทดลอง เกิดจากความอยากรู้อยากเห็นซึ่งเป็นนิสัยของคนโดยทั่วไป และโดยที่ไม่คิดว่าตนจะติดสิ่งเสพย์ติดนี้ได้ จึงไปทำการทดลองใช้สิ่งเสพย์ติดนั้น ในการทดลองใช้ครั้งแรกๆ อาจมีความรู้สึกดีหรือไม่ดีก็ตาม ถ้ายังไม่ติดสิ่งเสพย์ติดนั้น ก็อาจ ประมาท ไปทดลองใช้สิ่งเสพย์ติดนั้นอีก จนใจที่สุดก็ติดสิ่งเสพย์ติดนั้น หรือ ถ้าไปทดลองใช้สิ่งเสพย์ติดบางชนิด เช่น เฮโรอีน แม้จะเสพเพียงครั้งเดียว ก็อาจทำให้ติดได้ | |||||||||||||
๒. ความคึกคะนอง คนบางคนมีความคึกคะนอง ชอบพูดอวดเก่งเป็นนิสัย โดยเฉพาะวัยรุ่นมักจะมีนิสัยดังกล่าว คนพวกนี้อาจแสดงความเก่งกล้าของตน ในกลุ่มเพื่อนโดยการแสดงการใช้สิ่งเสพย์ติดชนิดต่าง ๆ เพราะเห็นแก่ความสนุกสนาน ตื่นเต้น และ ให้เพื่อนฝูงยอมรับว่าตนเก่ง โดยมิได้คำนึง ถึงผลเสียหาย หรือ อันตรายที่จะเกิดขึ้นในภายหลังแต่อย่างไร ในที่สุดจนเองก็กลายเป็นคนติดสิ่งเสพย์ติดนั้น | |||||||||||||
๓. การชักชวนของคนอื่น อาจเกิดจากการเชื่อตามคำชักชวนโฆษณา ของผู้ขายสินค้าที่ เป็นสิ่งเสพย์ติดบางชนิด เช่น ยากระตุ้นประสาทต่างๆ ยาขยัน ยาม้า ยาบ้า เป็นต้น โดยผู้ขายโฆษณาสรรพคุณของสิ่งเสพย์ติดนั้นว่ามีคุณภาพดีสารพัดอย่างเช่น ทำให้มีกำลังวังชา ทำให้มีจิตใจแจ่มใส ทำให้มีสุขภาพดี ทำให้มีสติปัญญาดี สามารถรักษาโรคได้บางชนิด เป็นต้น ผู้ที่เชื่อคำ ชักชวนโฆษณาดังกล่าวจึงไปซื้อตามคำชักชวนของเพื่อนฝูง ซึ่งโดยมากเป็นพวกที่ติดสิ่งเสพย์ติดนั้นอยู่แล้ว ด้วยความเกรงใจเพื่อน หรือ เชื่อเพื่อน หรือต้องการแสดงว่าตัวเป็นพวกเดียวกับเพื่อน จึงใช้สิ่งเสพย์ติดนั้น | |||||||||||||
๒. สาเหตุที่เกิดจากการถูกหลอกลวง | |||||||||||||
ปัจจุบันนี้มีผู้ขายสินค้าประเภทอาหาร ขนม หรือเครื่องดื่มบางรายใช้สิ่งเสพย์ติดผสมลงในสินค้าที่ขาย เพื่อให้ผู้ซื้อสินค้านั้นไปรับประทานเกิดการติด อยากมาซื้อไปรับประทานอีก ซึ่งในกรณีนี้ ผู้ซื้ออาหารนั้นมารับประทาน จะไม่รู้สึกว่าตนเองเกิดการติดสิ่งเสพย์ติดขึ้นแล้ว รู้แต่เพียงว่าอยากรับประทานอาหาร ขนม หรือเครื่องดื่มที่ซื้อจากร้านนั้น ๆ กว่าจะทราบก็ต่อเมื่อตนเองรู้สึกผิด สังเกตต่อความต้องการ จะซื้ออาหารจากร้านนั้นมารับประทาน หรือต่อเมื่อ มีอาการเสพย์ติดรุนแรง และมีสุขภาพเสื่อมลง | |||||||||||||
๓. สาเหตุที่เกิดจากความเจ็บป่วย | |||||||||||||
๑. คนที่มีอาการเจ็บป่วยทางกายเกิดขึ้นเพราะสาเหตุต่าง ๆ เช่นได้รับบาดเจ็บรุนแรง เป็นแผลเรื้อรัง มีความเจ็บปวดอยู่ เป็นประจำ เป็นโรคประจำตัวบางอย่าง เป็นต้น ทำให้ได้รับทุกข์ทรมานมาก หรือ เป็นประจำ จึงพยายามแสวงหาวิธีที่จะช่วยเหลือตนเองให้พ้นจากความทุกข์ทรมานนั้นซึ่งวิธีหนึ่งที่ทำได้ง่ายคือ การรับประทานยาที่มีฤทธิ์ระงับอาการเจ็บปวดนั้นได้ ซึ่งไม่ใช่เป็นการรักษาที่เป็นต้นเหตุของความเจ็บป่วย เพียงแต่ระงับอาการเจ็บปวดให้หมดไปหรือลดน้อยลงได้ชั่วขณะ เมื่อฤทธิ์ยาหมดไปก็จะกลับเจ็บปวดใหม่ ผู้ป่วยก็จะใช้ยานั้นอีก เมื่อทำเช่นนี้ไปนานๆ เกิดอาการติดยานั้นขึ้น | |||||||||||||
๒. ผู้ที่มีจิตใจไม่เป็นปกติ เช่น มีความวิตก กังวล เครียด มีความผิดหวังในชีวิต มีความเศร้าสลดเสียใจ เป็นต้น ทำให้สภาวะจิตใจไม่เป็นปกติจนเกิดการป่วยทางจิตขึ้น จึงพยายามหายาหรือสิ่งเสพย์ติดที่มีฤทธิ์สามารถคลายความเครียดจากทางจิตได้ชั่วขณะหนึ่งมารับประทาน แต่ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุเมื่อยาหมดฤทธิ์ จิตใจก็จะกลับเครียดอีก และ ผู้ป่วยก็จะเสพสิ่งเสพย์ติด ถ้าทำเช่นนี้ ไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ผู้นั้นติดยาเสพย์ติดในที่สุด | |||||||||||||
๓. การไปซื้อยามารับประทานเองโดยไม่ทราบสรรพคุณยาที่แท้จริงขนาดยาที่ควรรับประทาน การรับประทานยาเกินจำนวนกว่าที่แพทย์ได้สั่งไว้ การรับประทานยาบางชนิดมากเกินขนาด หรือรับประทานติดต่อกันนานๆ บางครั้งอาจมีอาการถึงตายได้ หรือบางครั้งทำให้เกิดการเสพติดยานั้นได้ | |||||||||||||
๔.สาเหตุอื่นๆ | |||||||||||||
การอยู่ใกล้แหล่งขายหรือใกล้แหล่งผลิต หรือ เป็นผู้ขายหรือผู้ผลิตเอง จึงทำให้มีโอกาสติดสิ่งเสพย์ติดให้โทษนั้นมากกว่าคนทั่วไป | |||||||||||||
เมื่อมีเพื่อนสนิทหรือพี่น้องที่ติดสิ่งเสพย์ติดอยู่ ผู้นั้นย่อมได้เห็นวิธีการเสพ ของผู้ที่อยู่ใกล้ชิด รวทั้งใจเห็นพฤติกรรมต่างๆ ของเขาด้วย และยังอาจได้รับคำแนะนำหรือชักชวนจากผู้เสพด้วย จึงมีโอกาสติดได้ | |||||||||||||
๑. คนบางคนอยู่ในสภาพที่มีปัญหา เช่น ว่างงาน ยากจน ค่าใช้จ่ายเพิ่มโดยมีรายได้ลดลง หรือคงที่ มีหนี้สินมาก ฯลฯ เมื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้ก็หันไปใช้สิ่งเสพย์ติด ช่วยผ่อนคลายความรู้สึก ในความทุกข์ยากต่างเหล่านี้ แม้จะรู้ว่าเป็นชั่วครู่ชั่วยาม ก็ตาม เช่น กลุ้มใจที่เป็นหนี้คนอื่นก็ไปกินเหล้า หรือ สูบกัญชาให้เมาเพื่อที่จะได้ลืมเรื่องหนี้สิน บางคนต้องการรายได้เพิ่มขึ้น โดยพยายามทำงานให้หนัก และ มากขึ้นทั้ง ๆ ที่ร่างกายอ่อนเพลียมากจึงรับประทานยากระตุ้นประสาทเพื่อให้สามารถทำงานต่อไปได้ เป็นต้น ถ้าทำอยู่เป็นประจำทำให้ติดสิ่งเสพย์ติดนั้นได้ | |||||||||||||
๒.การเลียนแบบ การที่ไปเห็นผู้ที่ตนสนิทสนมรักใคร่เหรือเพื่อน จึงเห็นว่าเป็นสิ่งน่าลอง เป็นสิ่งโก้เก๋ เป็นสิ่งแสดงความเป็นพวกเดียวกัน จึงไปทดลองใช้สิ่งเสพย์ติดนั้นจนติด | |||||||||||||
๓. คนบางคนมีความผิดหวังในชีวิตตนเอง ผิดหวังในชีวิตครอบครัว หรือผิดหวังในชีวิตสังคม เพื่อเป็นการประชดตนเองหรือคนอื่น จึงไปใช้สิ่งเสพย์ติดจนติด ทั้งๆ ที่ทราบว่าเป็นสิ่งไม่ดี ก็ตาม | |||||||||||||
ลักษณะการติดยาเสพติด | |||||||||||||
ยาเสพติดบางชนิดก่อให้เกิดการติดได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่ยาเสพติดบางชนิด ก็ก่อให้เกิดการติดทางด้านจิตใจ เพียงอย่างเดียว | |||||||||||||
ลักษณะทั่วไป | |||||||||||||
๑. ตาโรยขาดความกระปรี้กระเปร่า น้ำมูกไหล น้ำตาไหล ริมฝีปากเขียวคล้ำแห้ง แตก (เสพโดยการสูบ) ๒. เหงื่อออกมาก กลิ่นตัวแรง พูดจาไม่สัมพันธ์กับความจริง ๓. บริเวณแขนตามแนวเส้นโลหิต มีร่องรอยการเสพยาโดยการฉีดให้เห็น ๔. ที่ท้องแขนมีรอยแผลเป็นโดยกรีดด้วยของมีคมตามขวาง (ติดเหล้าแห้ง ยา กล่อมประสาท ยาระงับประสาท) ๕. ใส่แว่นตากรองแสงเข้มเป็นประจำเพราะม่านตาขยายและเพื่อปิดนัยน์ตาสีแดงก่ำ ๖. มักสวมเสื้อแขนยาวปกปิดรอยฉีดยา โปรดหลีกให้พ้นจากบุคคลที่มีลักษณะดังกล่าว ชีวิตจะสุขสันต์ตลอดกาล ๗. มีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะเสพยานั้นต่อไปอีกเรื่อยๆ ๘. มีความโน้มเอียงที่จะเพิ่มปริมาณของสิ่งเสพย์ติดให้มากขึ้นทุกขณะ ๙. ถ้าถึงเวลาที่เกิดความต้องการแล้วไม่ได้เสพจะเกิดอาการขาดยาหรืออย่ากยาโดยแสดงออกมา ในลักษณะอาการต่างๆ เช่น หาว อาเจียน น้ำมูกน้ำตาไหล ทุรนทุราย คลุ้มคลั่ง ขาดสติ โมโห ฉุนเฉียว ฯลฯ ๑๐.สิ่งเสพย์ติดนั้นหากเสพอยู่เสมอๆ และเป็นเวลานานจะทำลายสุขภาพของผู้เสพทั้งทางร่างกายและจิตใจ ๑๑. ทำให้ร่างกายซูบผอมมีโรคแทรกซ้อน และทำให้เกิดอาการทางโรคประสาทและจิตไม่ปกติ | |||||||||||||
การติดยาทางกาย | |||||||||||||
เป็นการติดยาเสพติดที่ผู้เสพมีความต้องการเสพอย่างรุนแรง ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เมื่อถึงเวลาอยากเสพแล้วไม่ได้เสพ จะเกิดอาการผิดปกติอย่างมาก ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งเรียกว่า "อาการขาดยา" เช่น การติดฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน เมื่อขาดยา จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หาว น้ำมูกน้ำตาไหล นอนไม่หลับ เจ็บปวดทั่วร่างกาย เป็นต้น | |||||||||||||
การติดยาทางใจ | |||||||||||||
เป็นการติดยาเสพติดเพราะจิตใจเกิดความต้องการ หรือ เกิดการติดเป็นนิสัย หากไม่ได้เสพร่างกายก็จะไม่เกิดอาการผิดปกติ หรือ ทุรนทุรายแต่อย่างใด จะมีบ้างก็เพียงเกิดอาการหงุดหงิดหรือกระวนกระวายใจเท่านั้น | |||||||||||||
| |||||||||||||
ยาบ้า เป็นยาเสพติด สารสังเคราะห์มีแอมเฟตามีนเป็นส่วนประกอบ มีชื่อเรียก เช่น ยาขยัน ยาแก้ง่วง ยาโด๊ป นิยมเสพโดยรับประทานโดยตรงหรือผสมในอาหาร หรือเครื่องดื่ม หรือเสพโดยนำยาบ้ามาบดแล้วนำไปลนไฟแล้วสูดดมเป็นไอระเหยเข้าสู่ร่างกาย จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2441
เนื้อหา |
ยาบ้า มีลักษณะเป็นยาเม็ดกลมแบนขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6-8 มิลลิเมตร ความหนาประมาณ 3 มิลลิเมตร น้ำหนักเม็ดยาประมาณ 80-100 มิลลิกรัม มีสีต่างๆ กัน เช่น สีส้ม สีน้ำตาล สีม่วง สีชมพู สีเทา สีเหลือง และสีเขียว เป็นต้น มีเครื่องหมายการค้า เป็นสัญลักษณ์หลายแบบ เช่น รูปหัวม้าและอักษร LONDON มีสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนเม็ดยา เช่น ฬ , ฬ99 , M , PG ,WY สัญลักษณ์รูปดาว , รูปพระจันทร์เสี้ยว ,99 หรืออาจเป็นลักษณะของเส้นแบ่งครึ่งเม็ด ซึ่งสัญลักษณ์เหล่านี้อาจปรากฏบนเม็ดยาด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้าน หรืออาจเป็นเม็ดเรียบทั้งสองด้าน รูปร่างของยาบ้าอาจพบในลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ กลมแบน รูปเหลี่ยมรูปหัวใจ หรือแคปซูล
ยาบ้า เป็นยากลุ่มแอมเฟทตามีน(Amphetamines) ซึ่งมีหลายตัว เช่น Dextroamphetamine, Methamphetamine เรียกกันแต่เดิมว่า “ยาม้า” ยานี้เคยใช้เป็นยารักษาโรคอยู่บ้างในอดีต สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคผลอยหลับโดยไม่รู้ตัว (Narcolepsy) เด็กที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง ขาดความตั้งใจและสมาธิในการเรียน (Attention Deficit Disorder) และผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ปัจจุบันนิยมนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย
ยาบ้ามีประวัติที่มายาวนาน โดยสังเคราะห์ได้กว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองใช้กระตุ้นความกล้าหาญและความ อดทนของทหารทั้งสองฝ่าย โดยประมาณกันว่ามีการใช้ยาบ้ากว่า 72 ล้านเม็ดระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง หลังสงครามการใช้ยาบ้าจึงเริ่มแพร่ขยายออกไปสู่สังคม สาเหตุที่เคยเรียกว่า ยาม้า สันนิษฐานได้หลายแง่ บ้างว่าคงมาจากการที่เคยนำไปใช้กระตุ้นม้าแข่งให้วิ่งเร็ว และอดทน บ้างว่าเนื่องจากทำให้ผู้ใช้ยาคึกคะนอง เหมือนม้า อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนมาเรียกเป็นยาบ้า ก็เพื่อจะเน้นความเป็นพิษของยา ซึ่งเมื่อใช้มากเกินขนาดหรือใช้ติดต่อกันนานๆ จะทำ ให้ผู้ใช้ยามีลักษณะเหมือนคนบ้าและเนื่องจากกระบวนการสังเคราะห์สารนี้ไม่ ซับซ้อน ปัจจุบันจึงมีการลักลอบสังเคราะห์ กันอยู่ในประเทศไทย
ในระยะแรก ยาบ้ามีชื่อเรียกในภาษาไทยว่า ยาขยัน เป็นที่นิยมในกลุ่มนักเรียนที่ต้องดูหนังสือสอบดึกๆ ต่อมาเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน คนขับรถบรรทุก มีชื่อเรียกว่า ยาม้า เหตุที่ได้ชื่อนี้มาจากเครื่องหมายการค้าของบริษัท Wellcome ซึ่งเป็นบริษัทแรกที่ส่งยาชนิดนี้มาขายในประเทศไทย
ในสมัยหนึ่งนักเคมี ทดลองสังเคราะห์ สารที่มีโครงสร้างคล้ายยาบ้ามากมายหลายตัว โดยหวังว่าคงจะมีสักตัวที่ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ แต่กลับปรากฏว่าสารเหล่านั้น มักไม่มีประโยชน์แต่กลับมีผลเสียต่อจิตอารมณ์แทบทุกตัว สารอนุพันธุ์เหล่านี้ปัจจุบันมีการ ลักลอบสังเคราะห์กันในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ และเรียกกันรวมๆ ว่า Designer Drugs ซึ่งหมายถึงสารที่พยายามดัดแปลงสูตรโครงสร้าง ทางเคมีจากสารเดิม ที่ถูกควบคุมโดยกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อใช้ทดแทนสารเดิมและหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย
ยาบ้ามีสารประกอบหลักในกลุ่มแอมเฟตามีน (Amphetamine) ซึ่งเป็นสารที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาในปี ค.ศ.1887 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ชื่อ เอเดเลียโน (Edeleno) ในรูปของแอมเฟตามีนซัลเฟต (Amphetamine Sulfate) ต่อมาในปี ค.ศ.1888 นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นก็สามารถสังเคราะห์อนุพันธ์ของแอมเฟตามีนได้อีกตัวหนึ่งคือ เมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine) ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางได้รุนแรงกว่า แอมเฟตามีน และยาบ้าที่ระบาดในประเทศไทยขณะนี้ก็มีสารประกอบหลักเป็นเมทแอมเฟตามีนนี้เอง
ปัจจุบัน มีชื่อเรียกว่า ยาบ้า ตามข้อเสนอของนายเสนาะ เทียนทอง ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อ พ.ศ. 2539 ซึ่งให้นโยบายว่า ชื่อยาม้า ทำให้ผู้เสพเข้าใจว่า เป็นยาที่กินแล้วให้กำลังวังชา มีเรี่ยวแรง คึกคักเหมือนม้า ควรจะเปลี่ยนไปเรียกว่า ยาบ้า เพื่อให้ผู้เสพตระหนักถึงโทษของยาที่ทำให้ผู้เสพไม่สามารถควบคุมสติได้ เกิดความรังเกียจ ทำให้ไม่อยากเสพ และจะช่วยลดจำนวนผู้เสพยาได้ [1] และเปลี่ยนประเภทจากสิ่งเสพติดประเภท 3 ซึ่งจำหน่ายได้ในร้านขายยา เป็นสิ่งเสพติดประเภท 1 ซึ่งห้ามจำหน่าย และมีบทลงโทษต่อผู้ขายรุนแรง เพื่อให้ผู้ขายกลัวต่อบทลงโทษ แต่กลับทำให้ยาบ้ามีราคาจำหน่ายสูงขึ้น จนสร้างผลกำไรต่อผู้ขายเป็นอย่างมาก และมีผู้ผลิตและจำหน่ายมากขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมให้เสพติดง่ายขึ้น มีฤทธิ์รุนแรงขึ้น จนกลายเป็นปัญหาสังคมในปัจจุบัน
ในปัจจุบัน แถบชายแดนไทยกัมพูชาจะรับซื้อยาบ้าจากทางว้าแดงส่งผ่านมาทางประเทศลาวแล้วนำยาบ้ามาบดแล้วผสมกับแป้งทำยา (Drug Powder) แล้วนำมาอัดขึ้นรูปใหม่เพื่อให้มีจำนวนเม็ดยาเพิ่มขึ้น ตัวสารเสพติดต่อเม็ดจะลดลงเพื่อเพิ่มกำไร
ในประเทศผู้ผลิต (กลุ่มว้าแดง) จะห้ามประชาชนของเขาเสพยาเสพติดที่เขาผลิตโดยเด็ดขาด ถ้าทางผู้ผลิตทราบจะลงโทษสถานหนักถึงขั้นยิงทิ้งเลยทีเดียว การขนส่งยาเสพติดจากประเทศผู้ผลิตจะส่งกัน 2 ทางคือ
1. ทางบก โดยผู้ผลิตจะนำยาเสพติดใส่หลังสัตว์ (ลา) หรือให้คนงานใส่เป้พร้อมอาวุธบรรทุกมาตามแนวชายแดนฝั่งตะวันตกของประเทศไทย หรืออ้อมสามเหลี่ยมทองคำผ่านเข้าประเทศลาวสู่ประเทศไทย หรือผ่านลาวลงมากัมพูชาเข้าประเทศไทย
2. ทางน้ำ ผู้ผลิตจะนำยาเสพติดใส่เรือประมงทางฝั่งทะเลอันดามาลงมาทางใต้ของไทย
ยาบ้า เป็นยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท เมื่อเสพเข้าสู่ร่างกาย ในระยะแรกจะออกฤทธิ์ทำให้ร่างกายตื่นตัว หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ใจสั่น ประสาทตึงเครียด แต่เมื่อหมดฤทธิ์ยาจะรู้สึกอ่อนเพลียมากกว่าปกติ ประสาทล้าทำให้การตัดสินใจช้าและผิดพลาด เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ ถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้สมองเสื่อม เกิดอาการประสาทหลอน เห็นภาพลวงตา หวาดระแวง คลุ้มคลั่ง เสียสติ เป็นบ้า อาจทำร้ายตนเองและผู้อื่นได้ หรือในกรณีที่ได้รับยาในปริมาณมาก จะไปกดประสาท และระบบการหายใจทำให้หมดสติ และถึงแก่ชีวิตได้
ข้อหา | บทลงโทษ |
ผลิต นำเข้า หรือส่งออก | ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หากเป็นการกระทำเพื่อ จำหน่าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต ( กรณีคำนวณเป็น สารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ 20 กรัม ขึ้นไป ถือว่าเป็นการกระทำเพื่อ จำหน่าย) |
จำหน่ายหรือครอบครองเพื่อจำหน่าย | ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึงจำคุกตลอดชีวิตและ ปรับตั้งแต่ 5 หมื่นบาทถึง 5 แสนบาท หากมีสารบริสุทธิ์ ไม่เกิน 100 กรัม แต่ถ้าเกิน 100 กรัม ต้องระวางโทษจำคุก ตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต |
ครอบครอง | คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่ถึง 20 กรัม ต้องระวางโทษจำคุก 1 ถึง 10 ปี และปรับ 1 หมื่นบาท ถึง 1 แสนบาท (คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 20 กรัมขึ้นไป ถือว่าครอบครองเพื่อจำหน่าย) |
เสพ | ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 10 ปี และปรับ ตั้งแต่ 5 พันบาท ถึง 1 แสนบาท แต่ปัจจุบันนี้ ผู้เสพจะได้รับการบำบัดจาก โรงพยาบาลธัญญารักษ์ เป็นเวลา 3 เดือน |
ใช้อุบาย หลอกลวง ขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายฯให้ผู้อื่นเสพ | ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาท ถึง 2 แสนบาท และถ้าเป็นการกระทำต่อหญิงหรือบุคคลซึ่ง ยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องระวางโทษประหารชีวิต ถ้ากระทำโดยมีอาวุธหรือร่วมกัน 2 คนขึ้นไป ต้องระวางโทษจำคุก 4 ปี ถึง 30 ปี และปรับตั้งแต่ 4 หมื่นบาท ถึง 3 แสนบาท |
ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นเสพ | ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 1 หมื่นบาท ถึง 5 หมื่นบาท |
วิธีการสังเกตผู้ติดยาแบบทั่วๆไป ประเภทนี้มีหลายวิธี โดยเริ่มต้นจากพฤติกรรมทั่วๆไปเช่น การไม่พักผ่อน นอนดึกเป็นนิสัยแต่ตื่นตอนเช้าตรู่ ไม่ค่อยออกสังคม มีโลกส่วนตัวสูง ชอบอยู่ในสถานที่มิดชิด ปิดห้องนั่งเล่นเกมส์คนเดียว สูบบุหรี่จัด หรือชอบงัดแงะเครื่องจักรกลออกมาทำความสะอาดหรือซ่อมแซม กัดฟันกรามหรือเอามือม้วนที่ปลายผม หรือบีบสิว แต่งหน้าแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อยๆ เวลาเรียกทานข้าวมักจะไม่มาทานด้วยเพราะยาชนิดนี้จะช่วยให้ผู้เสพไม่หิวข้าว
ให้สังเกตตามซอกตู้ลิ้นชักว่ามีอุปกรณ์การเสพซ่อนอยู่หรือไม่ เช่นหลอด เวลาซักผ้าให้ตรวจดูในกระเป๋าเพื่อดูว่ามีเศษฟรอยซองบุหรี่หรือไม่ (มีลักษณะเป็นกระดาษอะลูมิเนียมบางของซองบุหรี่)
ถ้าบ้านท่านมีแผ่นฝ้าเพดานชนิดเปิดได้ให้สังเกตว่าฝ้าเพดานที่บ้านท่านปิดสนิทดีหรือไม่ เพราะผู้เสพยามักนิยมนำอุปกรณ์การเสพไปซ่อนไว้ที่นั่น ถ้าสงสัยให้เปิดดู ส่วนใหญ่ถ้าแผ่นฝ้าเพดานหากถูกเปิดบ่อยมักจะไม่สนิท รอยมือดำๆติดอยู่ที่แผ่นฝ้าเพดาน
ให้สังเกตกลุ่มเพื่อนที่มาหา เด็กกลุ่มติดยามักร่วมทำกิจกรรมที่ดูเป็นมิตรเสมอ เช่นซ้อมดนตรี วาดภาพ เปิดติว แต่ความจริงแล้วพวกเขาหาโอกาสมารวมตัวกันเสพยา ให้สังเกตว่ากิจกรรมที่เขาทำอยู่นั้นเนิ่นนานกว่าปกติหรือไม่เช่น ซ้อมดนตรีต่อวันๆ ละ 10 ชั่วโมง เล่นเกมส์กันนานหลายชั่วโมง ไม่กินข้าวกินปลา ถือว่าไม่ปกติ
ถังขยะคือแหล่งข้อมูลที่สำคัญของผู้เสพ ให้สังเกตตามถังขยะหน้าบ้านเวลาบุตรหลานท่านไปทิ้งขยะ (มักทิ้งเวลาเช้าตรู่) ผู้เสพจะนำอุปกรณ์ต่างๆเหล่านั้นไปทิ้งหรือทิ้งลงโถส้วม
สังเกตผู้ติดยาทางกายภาพของผู้เสพ ให้สังเกตว่าคนติดยาบ้าจะมีหน้าตาที่เรียวเล็ก แขนและขาผ่อมรีบ ใบหน้าดำคล้ำ ขอบตาจะดำ เส้นผมแข็งหรือผมล่วง ร่างกายจะผอมผิดปกติ ไม่ชอบอยู่เฉยๆ มีกลิ่นตัวแรง ลมหายใจจะเหม็น ถ้าไม่แน่ใจว่าบุตรหลานของท่านติดยาหรือไม่ให้ท่านไม่จำเป็นต้องตรวจด้วยยา ให้ใช้วิธีการให้คนๆนั้นยื่นมือยื่นแขนทั้งสองแขนเหยียดตรงมาข้างหน้า แล้วกางมือให้ตั้งฉากกับแขนแล้วกางนิ้วออก หากมีการสั่นผิดปกติ มีแนวโน้มว่าผู้นั้นใช้ยาเสพติด
การบำบัดรักษาผู้ติดยาบ้าไม่ใช่การทำให้ร่างกายปลอดจากยาเสพติด แต่เป็นการบำบัดรักษาความผิดปกติของร่างกายจากผลของยาเสพติด คือ ความผิดปกติของระบบประสาท (คือผู้เสพจะรู้สึกว่าร่างกายตื่นตัวและมีความต้องการทำในสิ่งที่คิดหรือสิ่งที่ถูกสั่งจากสมอง ) โดยเฉพาะสมองส่วนกลาง (Central nervous system) และสารสื่อเคมีสมอง (Neurotransmitter) สมองของผู้ติดยาเสพติดต้องการฤทธิ์ของยาเสพติดที่จะกระตุ้นให้ระบบสมองทำงานอย่างปกติ หากช่วงใดขาดยาเสพติดไปกระตุ้นก็จะเกิดอาการผิดปกติขึ้น
อาการผิดปกติของร่างกายที่เห็นทันทีที่หยุดยาบ้า คือ อาการถอนพิษยา ซึ่งจะมีอาการหิวบ่อย กินจุ กระวนกระวาย อ่อนเพลียและมีความรู้สึกจิตใจหดหู่ บางรายมีอาการถึงขนาดอยากฆ่าตัวตาย ในระยะนี้ ผู้ติดยาบ้าจะอยากนอนและนอนเป็นเวลานานในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก
ต่อจากอาการถอนพิษยา ผู้ติดยาบ้าจะมีอาการอยากยามาก ในช่วงนี้ผู้ติดยาเสพติดจะมีความ รู้สึกไม่เป็นสุข ไม่มีกำลังทั้งทางร่างกายและจิตใจ อยากที่จะใช้ยาเพื่อกระตุ้นร่างกายและจิตใจให้เกิดความกระชุ่มกระชวยกลับมาใหม่
การบำบัดรักษายาบ้าในช่วงแรก เป็นการบำบัดรักษาเพื่อลดอาการถอนพิษยาจึงเป็นการให้ยาตามอาการ เพื่อลดความเครียด อาการซึมเศร้าหรืออาการทางจิตอื่นๆ เช่น อาการหวาดระแวง เพื่อให้ผู้ติดยาเสพติดสามารถประคับประคองตนเองผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ หลังจากหยุดยาบ้าประมาณ 3-4 สัปดาห์ อาการถอนพิษยาและอาการอยากยาจะลดน้อยลง
แม้ว่าผู้ติดยาบ้าที่ผ่านการบำบัดรักษาขั้นถอนพิษยาแล้ว จะมีสุขภาพร่างกายและจิตใจดีขึ้น ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง แต่ความผิดปกติของระบบสมอง พฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมยังไม่ได้แก้ไข จำเป็นที่จะต้องเข้าสู่ขั้นตอน ฟื้นฟูสมรรถภาพ ต่อไป เพื่อให้ผู้ติดยาบ้าหายขาดไม่หวนกลับไปใช้ยาเสพติดอีก
การที่ต้องผ่านขั้นตอนฟื้นฟูสมรรถภาพเพื่อฟื้นฟูให้สมองของผู้ติดยาเสพติดกลับมาเป็นสมองของคนปกติ เนื่องจากระบบประสาทของคนติดยาต้องการเสพติดเป็นประจำ เพื่อกระตุ้นให้มีสารเคมีสมองพอเพียงที่จะทำให้เกิดความสุขไม่วิตกกังวล หากขาดการกระตุ้นจากยาเสพติด สมองของผู้ติดยาเสพติดจะมีปฏิกิริยาตรงกันข้าม คือผู้ติดยาจะหงุดหงิดไม่เป็นสุข มีความเครียด วิตกกังวลและมีความอยากที่จะกลับไปเสพ ยาเสพติดอีก ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรให้ส่วนต่างของสมองได้ปรับตัวกลับเป็นปกติในช่วงที่ระบบสมองปรับตัวเป็นปกติ ผู้ติดยาเสพติดต้องไม่หวนกลับไปเสพยาเสพติดอีก
นอกจากระบบสมองแล้ว พฤติกรรมและสภาพแวดล้อมของผู้ติดยาต้องได้รับการปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น ในกระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพมีหลายวิธี การที่จะช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติด เช่น การเข้าค่ายฟื้นฟูฯ การให้ คำปรึกษา การทำจิตบำบัด และชุมชนบำบัด เป็นต้น เพื่อให้ผู้ติดยาเสพติดเข้าใจถึงปัญหาของตนเองที่นำไปสู่การเสพยาเสพติด ปรับสภาพครอบครัวให้สมาชิกในครอบครัวได้เข้าใจปัญหาและช่วยกันดูแลประคับประคองผู้ติดยาเสพติด ปรับสภาพกลุ่มเพื่อนให้ห่างไกลจากเพื่อนที่จะมาชักชวนให้เสพยาเสพติด สร้างความมั่นคงทางจิตใจผ่านทางผู้เกี่ยวข้องหรือกลุ่มที่เลิกยาแล้ว ให้ผู้ติดยาเสพติดสามารถยืนหยัดแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยไม่หวนกลับไปเสพยาอีก
ในทางการแพทย์ยาชนิดนี้มีชื่อทางการค้าว่า Desoxyn® ภายใต้สิทธิบัตรของบริษัท OVATION Pharmaceuticals จำกัด (โอเวชั่น ฟาร์มาซูติคอล) มีขนาดตั้งแต่ 5 mg, 10 mg, และ 15 mg หนึ่งกล่องบรรจุร้อยเม็ด ใช้บำบัดโรคซึมเศร้า โรคที่เกี่ยวกับระบบทางหายใจ ภูมิแพ้ ลดความอ้วน
ราคายา Desoxyn ต่อหน่วยประมาณ (แบบถูกกฎหมาย) (หน่วยเงิน US$ ยูเอสดอลล่า)
- ขนาด 5 mg บรรจุ 100 เม็ด ราคา $306
- ขนาด 10 mg บรรจุ 100 เม็ด ราคา $408
- ขนาด 15 mg บรรจุ 100 เม็ด ราคา $520
ราคายาบ้าต่อหน่วย/เม็ด ในประเทศไทยสถิติตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000-2011 (หน่วยเงินเป็นบาท) (ราคาขายปลีก)
ปี | ราคาในเขตกรุงเทพและปริมณฑล | ราคาในจังหวัดชายแดนใกล้แหล่งผลิต | ราคาในต่างจังหวัด | |
2001-2002 | 60-70 | 35-40 | 120-150 | |
2003-2005 | 100-150 | 60-80 | 150-200 | |
2005-2006 | 200-250 | 100-120 | 250-300 | |
2006-2008 | 250-350 | 200-250 | 250-400 | |
2009-2010 | 210-270 | 100-150 | 250-300 | |
2011 | 150-180 | 100-120 | 250-500 |
1. สีส้ม คือสีส่วนใหญ่ของยาบ้า แหล่งผลิตตามแนวชายแดนประเทศไทย หรือในประเทศเทศไทยเอง ถือว่าเป็นสีมาตรฐานของยาบ้า 2. สีเหลืองดอกคูณ เป็นยาบ้าที่มีตัวสารเสพติดสูงกว่าแบบสีส้ม แหล่งที่มา ประเทศพม่า 3. สีช็อกโกแลต เอกลักษณ์คือกลิ่นจะหอมเหมือนช็อกโกแลต ทำให้ผู้เสพใหม่ๆติดใจในกลิ่น เพราะเสพง่าย บางครั้งมีรสหวานติดมากับควันด้วย 4. สีกะปิ เป็นยาบ้าโบราณ เกิดเมื่อสมัยยาบ้าระบาดแรกๆ มักจะมีอักษรปั๊มว่า ฬ99 สีนี้ผลิตในเมืองไทยสมัยยังไม่ผิดกฎหมาย 5. สีม่วง ยาบ้าสีนี้ไม่ทราบที่มา แต่จะระบาดในช่วงปี ค.ศ. 1997-1999 เป็นสีที่หายากมากเพราะผลิตออกมาน้อย 6. สีเขียว สีเขียวเป็นยาบ้าชนิดพิเศษ จะมีตัวสารเสพติดแรงกว่ายาบ้าสีอื่นๆถึง 5 เท่า จะใส่มาในถุง 1 ถุงจะมียาบ้าสีเขียวจำนวนเพียง 2 เม็ดเท่านั้น (1 ถุงมี 200 เม็ด) ส่วนอีก 198 เม็ดจะเป็นสีส้ม บางความเชื่อของผู้เสพรวมทั้งผู้ขายเชื่อว่ายาบ้าสีเขียวคือสารดูดความชื้น ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ทางผู้ผลิตทำขึ้นเพื่อบ่งบอกว่าใน 1 ถุงมีจำนวนยาเท่าใด (ยาบ้าสีเขียว 1 เม็ด แสดงว่ามียาบ้าสีส้ม 99 เม็ด) 7. สีแดงอิฐ มีลักษณะสีเหมือนอิฐมอญ มีสารเสพติดค่อนข้างสูง 8. สีชมพู ยาบ้าชนิดนี้เป็นยาบ้าที่คุณภาพต่ำที่สุด ไม่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้เสพ และราคาถูก 9. สีขาว เป็นยาบ้ารุ่นแรกสุดของสมัยที่เรียกว่ายาม้า
ยาบ้า 1 ถุงมี 200 เม็ด (ภาษานักค้ายาเรียกว่า 1 คอก) ใน 200 เม็ด จะมีเม็ดสีเขียว 2 เม็ด เป็นตัวคั่น ยาบ้า 10 ถุงเรียกว่า 1 มัด (2000 เม็ด) จะมีลักษณะเป็นมัดพันด้วยกระดาษสีน้ำตาลแล้วห่อด้วยสก็อตเทปใสเพื่อป้องกันน้ำเข้า ยาบ้า 1 แถว มี 10 เม็ด นักค้ายาจะแพ็คใส่หลอดกาแฟพลาสติกเป็นแท่ง ๆ ละ 10 เม็ด ยาบ้า 1 ขา มี 1 ส่วน 4 เม็ด หมายความว่า 1 เม็ดแบ่งเป็นสี่ส่วน
ถ้าเป็นตัวภาษาอังกฤษหรือรูปภาพต่างๆ ยาบ้าชนิดนี้จะผลิตในต่างประเทศ ในสมัยก่อนยาบ้าหรือยาขยันนี้ยังไม่ผิดกฎหมาย นักเคมีบางกลุ่มได้สูตรการผลิตมาจากยุโรปจึงนำมาสร้างภาพลักษณ์ของตัวเอง โดยพิมพ์อักษรลงไปบนเม็ดยาว่า 99, ฬ99, ฬ สามแบบที่ว่านี้ถูกผลิตขึ้นในประเทศไทย (ไทยผลิตก่อนว้าแดง) ต่อมาทางการเริ่มยกระดับเป็นยาเสพติด อักษรไทยต่างๆ เหล่านี้จึงหายไปจากวงการค้ายาเสพติด อักษร WY อักษรนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อที่ชนกลุ่มน้อย (ว้าแดง) นำยาเสพติดไปผลิตเพื่อจำหน่าย โดยพวกเขาได้ใช้สัญลักษณ์นี้บนตัวยาบ้าที่เขาผลิตขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้าทราบว่ายาชนิดนี้ผู้ใดเป็นผู้ผลิต ส่วนความหมายนั้นจนปัจจุบันยังเป็นปริศนาอยู่ว่า WY หมายความว่าอะไร ความหมายของอักษร "WY" นั้นย่อมาจาก W หมายถึง ว้า หรือชนเผ่าว้าแดงชนเผ่าที่ผลิต Y หมายถึงสถานที่ที่ผลิต ในที่นี้คือ เมืองยอน เพราะฉนั้น คำว่า WY จึงย่อมาจากคำว่า " ว้า เมือง ยอน " นั้นเอง ยาบ้าหรือ Methamphetamine เป็นยาที่ใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ ในสหรัฐใช้ยาชนิดนี้ในกลุ่มผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ป.ป.ส. ในปี 2539 พบว่า ในจำนวน 301 ตัวอย่าง ที่เก็บจากพื้นที่ 50 จังหวัดทั่วประเทศ จำแนกเป็นสีต่าง ๆ ได้ถึง 27 สี และมีสัญลักษณ์ทั้งสิ้น 20 สัญลักษณ์ ซึ่งทั้งสีและสัญลักษณ์ เหล่านี้จะถูกใช้เป็นตัวโฆษณาถึงคุณภาพและราคาของยาบ้าซึ่งขณะนี้ เป็นความเชื่อของผู้เสพว่า ยาบ้าชนิดสีเขียวจะมีคุณภาพดี ที่สุดโดยตั้งชื่อต่าง ๆ เช่น เขียวมรกต", เขียวปากถุง", "ม้ามรกต" หรือ "มฤตยูสีเขียว" เป็นต้น และถ้าหากมีสัญลักษณ์ WY/- แล้วยิ่งมีคุณภาพดี แต่จากการตรวจหาสารประกอบของยาบ้าแต่ละชนิด มักไม่พบความแตกต่างกันมากนัก ส่วนใหญ่ของยาบ้าใน ท้องตลาดมีส่วนประกอบของเมทแอมเฟตามีน ไฮโดรคลอไรด์ ประมาณ 20-25 มิลลิกรัม หรือร้อยละ 20-30 คาเฟอีนประมาณ 45-55 มิลลิกรัม หรือร้อยละ 40-60 ที่เหลือเป็นแป้งและน้ำตาล ยาบ้าบางชนิดอาจจะมีอีฟีดีนผสมอยู่บ้าง โดยสารคาเฟอีนและอีฟีดีน ก็เป็นสารกระตุ้นประสาทจำพวกหนึ่ง แต่ออกฤทธิ์ไม่รุนแรงเท่าเมทแอมเฟตามีน ซึ่งถ้าชนิดใดมีเฉพาะสารคาเฟอีน หรือ อีฟีดีน โดยไม่มีสารเมทแอมเฟตามีนเราจะเรียกยาบ้าชนิดนั้นว่า "ยาบ้าปลอม |
[ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับยาเสพติด] | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ยาเสพติด สามารถแบ่งได้ ตามลักษณะต่างๆ ดังนี้ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก. แบ่งตามแหล่งที่เกิด ได้แก่ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1. ยาเสพติดธรรมชาติ (Natural Drugs) คือ ยาเสพติดที่ผลิตได้มาจากพืช เช่น ฝิ่น กระท่อม กัญชา | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2. ยาเสพติดสังเคราะห์ (Synthetic Drugs) คือ ยาเสพติดที่ผลิตขึ้นด้วยกรรมวิธีทางเคมี เช่น เฮโรอีน แอมเฟตามีน | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ข. แบ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ได้แก่ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ประเภท 1 ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรง ไม่เป็นประโยชน์ทางการแพทย์ เช่น เฮโรอีน (Heroin) แอมเฟตามีน (Amphetamine) เมทแอมเฟตามีน (Metham Phetamine) แอลเอสดี (LSD) เอ็คซ์ตาซี (Ecstasy) หรือ MDAM | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ประเภท 2 ยาเสพติดให้โทษทั่วไป เช่น ฝิ่น (Opium) มอร์ฟีน (Morphine) โคเคนหรือโคคาอีนเมทาโดน (Methadone) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ประเภท 3 ยาเสพติดให้โทษที่มียาเสพติดให้โทษประเภท 2 ผสมอยู่ เช่น ยาแก้ไอที่มีโคเดอีนผสมอยู่ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ประเภท 4 สารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษประเภท 1 หรือประเภท 2 เช่น อะเซติคแอนไฮโดรด์ (Aceticanhydride) อะเซติลคลอไรด์ (Acetycholride) เอทิลีดีนไดอาเซเตด (Ethy-lidinediacetate) ไลเซอร์จิค อาซิค (Lysergic Acid) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ประเภท 5 ยาเสพติดให้โทษที่ีมิได้เข้าอยู่ในประเภท 1 ถึงประเภท 4 เช่น พืชกัญชา พืชกระท่อม พืชฝิ่น (ซึ่งหมายความรวมถึงพันธุ์ฝิ่น เมล็ดฝิ่น กล้าฝิ่น ฟางฝิ่น พืชเห็ดขี้ควาย) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ค. แบ่งตามการออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ได้แก่ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1. ยาเสพติดประเภทกดประสาืท เช่น ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน ยากล่อมประสาท สารระเหย | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2. ยาเสพติดประเภทกระตุ้นประสาืท เช่น แอมเฟตามีน กระท่อม โคคาอีน | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3. ยาเสพติดประเภทหลอนประสาืท เช่น แอลเอสดี ดีเอ็มที เห็ดขี้ควาย | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4. ยาเสพติดประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน (กด กระตุ้น และหลอนประสาทร่วมกัน) เช่น กัญชา | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ง. แบ่งตามองค์การอนามัยโลก | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
องค์การอนามัยโลกได้จัดแบ่งยาเสพติดออกเป็น 9 ประเภท ได้แก่ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1. ประเภทฝิ่น หรือ มอร์ฟีน รวมทั้งยาที่มีฤทธิ์คล้ายมอร์ฟีน เช่น มอร์ฟีน เฮโรอีน เพธิดีน | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2. ประุเภทบาบิทูเรทรวมทั้งยาที่มีฤทธิ์ทำนองเดียวกัน เช่น เซโคบาร์บิตาล อะโมบาร์บิตาล พาราลดีไฮด์ เมโปรบาเมท ไดอาซีแพม คลอไดอาซีพอกไซด์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3. ประเภทแอลกอฮอร์ เช่น เหล้า เบียร์ วิสกี้ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4. ประเภทแอมเฟตามีน เช่น แอมเฟตามีน เดกซ์แอมเฟตามีน | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5. ประเภทโคเคน เช่น โคเคน ใบโคคา | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6. ประเภทกัญชา เช่น ใบกัญชา ยางกัญชา | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7. ประเภทคัท เช่น ใบคัท ใบกระท่อม | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8. ประเภทหลอนประสาท เช่น แอลเอสดี ดีเอ็มที เมสคาลีน เมล็ดมอร์นิ่งโกลลี่ ต้นลำโพง เห็นเมาบางชนิด | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9. ประเภทอื่นๆ เป็นพวกที่ไม่สามารถเข้าประเภทใดได้ เช่น ทินเนอร์ เบนซิล น้ำยาล้างเล็บ ยาแก้ปวด บุหรี่ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ชนิดของยาเสพติด | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ยาเสพติดและอาชญากรรม : ความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อน
สุมนทิพย์ ใจเหล็ก
ปัญหายาเสพติด เป็นปัญหาที่สำคัญของสังคมไทยมาเป็นเวลานาน โดยมีผู้กระทำผิดในคดียาเสพติดเป็นจำนวนมาก แม้รัฐบาลจะมีการประกาศสงครามกับยาเสพติดอย่างจริงจังในปี 2545 แต่ปัญหายาเสพติดหาได้หมดไปจากประเทศไทยอย่างแท้จริง ดังจะเห็นได้จาก สถิติของผู้กระทำผิดในคดียาเสพติดที่ถูกจับกุมในเรือนจำ และทัณฑสถานทั่วประเทศระหว่างปี 2538-2546 ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ดังแสดงในตารางที่ 1)
ตารางที่ 1
ตารางแสดงจำนวนผู้กระทำผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ยาเสพติด ระหว่างพ.ศ.2538-2546
พ.ศ. | จำนวนผู้กระทำผิด (คน) |
2538 | 24,743 |
2539 | 25,211 |
2540 | 27,751 |
2541 | 15,948 |
2542 | 55,254 |
2543 | 75,358 |
2544 | 94,248 |
2545 | 102,236 |
2546 | 107,344 |
ที่มา : กองแผนงาน กรมราชทัณฑ์
ปัญหายาเสพติดได้ก่อให้เกิดผลกระทบนานับประการต่อสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ซึ่งประเทศต้องสูญเสียทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าจำนวนมาก เนื่องจากการตกเป็นทาสยาเสพติด ที่ทำให้ผู้เสพมีสุขภาพเสื่อมโทรมไม่สามารถเป็นปัจจัยการผลิตและทรัพยากรที่สำคัญให้แก่ประเทศ ตลอดจนการสูญเสียงบประมาณจำนวนมหาศาลในการบำบัด แก้ไขฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดและการป้องกันการปราบปรามปัญหาดังกล่าว นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยตรง โดยผู้ติดยาเสพติดซึ่งได้รับผลกระทบจากฤทธิ์ของยาเสพติดไม่สามารถควบคุมตนเองได้ มีการทำร้ายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ดังปรากฏให้เห็นเป็นข่าวอยู่เสมอ รวมทั้งผู้เสพยาเสพติดบางส่วนที่ไม่มีเงินในการซื้อยาเสพติดมาเสพอาจประกอบอาชญากรรม อาทิ การฉก ชิง วิ่งราวทรัพย์ ตลอดจนการปล้นจี้ เพื่อให้ได้เงินมาในการซื้อยาเสพติดเพื่อเสพ และการฆ่าหักหลังในขบวนการค้ายาเสพติด เป็นต้น
โดยเฉพาะในปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาอาชญากรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัญหาดังกล่าวได้มีความสลับซับซ้อนและทวีความรุนแรงมากขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่ได้เปลี่ยนแปลงไป ดังจะเห็นได้จากวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมาส่งผลให้อาชญากรรมจำนวนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น มีผู้ประกอบอาชญากรรมและถูกควบคุมตัวที่เรือนจำทั่วประเทศตั้งแต่ พ.ศ.2538– 2546 จำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ดังแสดงในตารางที่ 2)
ตารางที่ 2
ตารางแสดงจำนวนผู้กระทำผิดที่ถูกควบคุมตัวที่เรือนจำทั่วประเทศตั้งแต่ พ.ศ.2538– 2546
พ.ศ. | จำนวนผู้กระทำผิด(คน) |
2538 | 72,913 |
2539 | 64,898 |
2540 | 69,660 |
2541 | 84,879 |
2542 | 111,348 |
2543 | 123,505 |
2544 | 151,054 |
2545 | 155,270 |
2546 | 159,225 |
ที่มา : กองแผนงาน กรมราชทัณฑ์
ปัญหาสำคัญที่ควรตระหนัก คือ การเพิ่มขึ้นของจำนวนอาชญากรรมที่นอกเหนือจากคดียาเสพติดมีความสัมพันธ์กับยาเสพติดหรือไม่ เนื่องจากการเกี่ยวข้องกับยาเสพติดนอกจากเป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมาย การละเมิดต่อกฎหมายบ้านเมืองโดยตรงแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างยาเสพติดกับการประกอบอาชญากรรม เป็นเรื่องที่คนโดยทั่วไปมักมีความเชื่อว่าการเสพยาเสพติดนำไปสู่การประกอบอาชญากรรม โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่าผู้ติดยาเสพติดจะประกอบอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์เพื่อนำเงินไปซื้อยาเสพติดเพื่อเสพ หรือการเสพยาเสพติดแล้วทำให้ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ทำให้เกิดการคลุ้มคลั่งทำร้ายผู้อื่น
ดังจะเห็นได้จากการนำเสนอข่าวอาชญากรรมซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับยาเสพติดปรากฎให้เห็นเสมอ อาทิ
- ตร. หิ้วโจรงัดเซฟทำแผน เจ้าตัวเชื่อเวรกรรมตามทัน
“...เซียนพนันงัดตู้เซฟเศรษฐีกวาดทรัพย์ 70 ล้าน เปิดปากสารภาพสิ้น ...ผู้ต้องหาลักทรัพย์โดยเจาะเซฟ เท่าที่จำได้ก่อเหตุมาหลายท้องที่ประมาณ 30 ครั้ง ได้ทรัพย์สินไปจำหน่ายร่วม 30 ล้านบาท
...ส่วนสาเหตุที่ทำเพราะต้องการเงินไปเล่นการพนัน เสพยาบ้า ... ” (หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ , 30 สิงหาคม 2547)
- หนุ่มเพี้ยนอาการกำเริบ “ฆ่าแม่” เข็นทิ้งวัด อีกรายพี้กัญชาได้ที่ฟันพ่อดับเตรียมฝัง
“...ตำรวจ สภอ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้รับแจ้งพบศพคนตายกำลังจะถูกฝังดิน ...อายุประมาณ 70 ปี สภาพศพไม่สวมใส่เสื้อผ้า ถูกฟันด้วยขวานที่กกหูขวา กะโหลกแตก หน้าท้องมีบาดแผลถูกฟันเป็นแผลฉกรรจ์
โดยมี...บุตรชายผู้เสียชีวิตนั่งเหม่อลอยอยู่ จึงคุมตัวไว้ สอบสวนทราบว่าชอบเสพกัญชาอยู่เป็นประจำ อาจเกิดอาการหลอนและลงมือก่อเหตุดังกล่าว... ” (หนังสือพิมพ์มติชน , 6 สิงหาคม 2547)
- วัยรุ่น แก๊งสปาร์ตา อำนาจเจริญ ควงมีด ซิ่งจยย.ไล่ล่าอริ เสียหลักตกคลอง
“...กลุ่มวัยรุ่นจำนวนมากขับขี่รถจักรยานยนต์ใช้มีดสปาร์ตาเป็นอาวุธ ไล่ล่ากันในเขตเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ ...รถเสียหลักพุ่งลงคลองระบายน้ำ ศรีษะกระแทกกับพนังกั้นคลองคอหัก
สำหรับวัยรุ่นกลุ่มนี้จะตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อเมืองอำนาจเจริญ ตั้งชื่อแก๊งว่า แก๊งสปาร์ตา นัดรวมตัวกันสูดดมสารระเหย ดื่มสุรา ก่อเรื่องไล่ฟันชาวบ้านเป็นประจำ...” (หนังสือพิมพ์มติชน , 6 สิงหาคม 2547)
- ...ลูกชั่วข่มขืนแม่
“...เมื่อผู้เป็นแม่เดินทางไปนอนที่บ้านลูกชายคนเล็กในหมู่บ้านเดียวกัน คืนนั้นมีฝนตกหนักจนรุ่งสาง ก่อนฟ้าสว่างลูกชายคนเล็กก็หอบเครื่องมือออกไปหาจับกบที่ทุ่งนา แล้วมีลูกชายคนโตมาที่บ้านถามหาแบตเตอรี่ว่าจะเอาไปส่องกบ ... ลูกชายคนโตเมื่อเห็นปลอดคนจึงบุกเข้าไปในบ้าน แล้วเข้าไปในบ้านข่มขืนแม่ตนเองจนสำเร็จความใคร่ก่อนจะหลบหนีไป...
...นอกจากนี้ นาย...ยังมีประวัติติดยาเสพติดประเภทสารระเหยอีกด้วย ...” (หนังสือพิมพ์ข่าวสด, 3 สิงหาคม 2547)
ความสัมพันธ์ของยาเสพติดและอาชญากรรมแม้จะปรากฏให้เห็นดังปรากฎในข่าวเสมอ และคนทั่วไปในสังคมมักเห็นว่ายาเสพติดเป็นสาเหตุนำไปสู่การประกอบอาชญากรรมดังกล่าวข้างต้น แต่ยังไม่มีหลักฐานที่สามารถสรุปได้อย่างแน่ชัดว่า การประกอบอาชญากรรมมีสาเหตุมาจากยาเสพติดโดยตรงหรือเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ โดยยาเสพติดเป็นเพียงปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการประกอบอาชญากรรมเท่านั้น
สำหรับความสัมพันธ์ของยาเสพติดกับอาชญากรรม นักอาชญาวิทยาได้ให้ความสนใจมาเป็นเวลานานแล้ว โดยในระยะแรกการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่เป็นที่สนใจเท่าใดนัก แต่ภายหลังนับจากที่ Lawrence Kolb (1925) พบว่าผู้ติดยาเสพติดที่ประกอบอาชญากรรมนั้น ประกอบอาชญากรรมมาก่อนที่จะติดยาเสพติด และยาเสพติดไม่ได้นำไปสู่การประกอบอาชญากรรมที่ใช้ความรุนแรง ทำให้มีการศึกษาวิจัยเสริมต่ออีกมากมาย โดยการวิจัยดังกล่าวเป็นการโต้แย้งในประเด็นต่าง ๆ หลายประเด็น แต่การวิจัยทั้งหมดก็มุ่งที่จะหาคำตอบในเรื่องเดียวกัน คือ ความสัมพันธ์ของยาเสพติดกับอาชญากรรม (นัทธี จิตสว่าง, 2531)
โดยเฉพาะ P.J.Goldstein (1985) ได้กล่าวถึง ความสัมพันธ์ของยาเสพติดกับการประกอบอาชญากรรม 3 รูปแบบ ได้แก่
1. ความสัมพันธ์ของยาเสพติดที่มีผลต่อสภาพจิตใจและการประกอบอาชญากรรม
( Psychopharmacological link )
การเสพยาเสพติดเป็นสาเหตุในการประกอบอาชญากรรม เนื่องจากการเสพยาเสพติดมีผลต่อสภาพจิตใจของผู้เสพ ทำให้เกิดการทำลายระบบความจำ การควบคุมตัวเอง รวมทั้งเป็นสาเหตุของจิตบกพร่องที่เกิดความหวาดระแวงว่าคนจะมาทำร้าย โดยยาเสพติดได้ทำลายระบบการรับรู้หรือความอดทนอดกลั้นต่อความละอายและเกรงกลัวต่อการกระทำผิด จึงอาจกล่าวได้ว่าผู้กระทำผิดหลายคนประกอบอาชญากรรมเนื่องจากฤทธิ์ของยาเสพติด โดยยาเสพบางประเภทก่อให้เกิดการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะยาเสพติดประเภทเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ , PC P ( phen–cyclidine ), โคเคน , ยาบ้า และยากดประสาทประเภทยานอนหลับ ( barbiturate ) เป็นต้น
ในขณะที่ยาเสพติดประเภทเฮโรฮีนและกัญชา กลับมีผลต่อการใช้ความรุนแรงน้อยกว่ายาเสพติดประเภทอื่น ๆ ดังจะเห็นๆได้จากตารางสรุปความสัมพันธ์ระหว่างยาเสพติดและการใช้ความรุนแรง (ตารางที่ 3)
ตารางที่ 3
ตารางสรุปความสัมพันธ์ระหว่างประเภทยาเสพติดและผลต่อการใช้ความรุนแรง
ประเภทยาเสพติด | ผลต่อการใช้ความรุนแรง |
โคเคน | คุณสมบัติหลักคือ การกระตุ้นสมองส่วนกลาง เป็นสาเหตุให้เกิดภาวะจิตบกพร่อง หวาดระแวงว่าจะมีคนทำร้ายหรือฆ่า ในบางครั้งเมื่อยาหมดฤทธิ์ อาจทำให้เกิดความโกรธง่ายเมื่อได้รับการกระตุ้นและมีความวิตกกังวล |
PCP ( phen – cyclidine ) | มีคุณสมบัติหลายประการ อาทิ เป็นยาหลอนประสาท ยาบรรเทาปวด และทำให้เกิดการชาเพื่อบรรเทาปวด มีคุณสมบัติหลักเช่นเดียวกับ โคเคน คือ การกระตุ้นสมองส่วนกลาง อย่างไรก็ตาม แม้ไม่มีการศึกษาที่เด่นชัด เกี่ยวกับสารเสพติดประเภทนี้ แต่ PCP เป็นยาเสพติดที่มีฤทธิ์เป็นอันดับสองรองจากเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ในการก่อให้เกิดการใช้ความรุนแรง |
ยาบ้า | คุณสมบัติหลักคือการกระตุ้นสมองส่วนกลาง ก่อให้เกิดภาวะจิตบกพร่อง มีความหวาดระแวงว่าจะมีคนมาทำร้าย มีความวิตกกังวล และ เกิดความผิดปกติของจิต |
กัญชา | ลดความต้องการใช้ความรุนแรง ทำให้เคริ้มอกเคริ้มใจ |
อย่างไรก็ตาม มีผลการศึกษาจำนวนไม่มากนักที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของ
คุณสมบัติของยาเสพติดที่มีผลต่อระบบจิตประสาทและการประกอบอาชญากรรม กล่าวคือ
การศึกษาของ O.Fedorowycz (1997) ที่ได้แสดงให้เห็นว่าผู้กระทำผิดในคดีฆาตรกรรมในประเทศแคนาดา ร้อยละ 50 ได้เสพเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือยาเสพติดก่อนที่จะประกอบอาชญากรรม
นอกจากนี้ จากการสำรวจข้อมูลจากผู้ต้องขังใหม่ที่เพิ่งถูกควบคุมตัวในสถานควบคุมในประเทศแคนาดาในปี 1999 ปรากฏว่าผู้ต้องขังใหม่ประมาณ ร้อยละ 50.6 ได้มีการเสพยาเสพติด และ/หรือเครื่องดื่มที่ส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ในวันที่กระทำผิดและถูกจับกุม โดยร้อยละ 16 ได้เสพยาเสพติดเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ร้อยละ 13 ได้เสพทั้งเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และยาเสพติด
สำหรับประเภทของอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องมีความแตกต่างกันทั้งสองกลุ่ม กล่าวคือ อาชญากรรมประเภทฆาตรกรรม การทำร้ายร่างกายให้ได้รับบาดเจ็บ จะมีความสัมพันธ์กับผู้เสพเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ในขณะที่อาชญากรรมประเภทเกี่ยวกับทรัพย์ อาทิ การลักขโมย การงัดแงะอาคารบ้านเรือน จะมีความสัมพันธ์กับผู้เสพยาเสพติดเป็นสำคัญ
เช่นเดียวกับข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างการเสพเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และยาเสพติดกับอาชญากรรมของประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1991 ปรากฎว่า
จากการสำรวจข้อมูลผู้ต้องขังจำนวน 14,000 คน ที่ถูกควบคุมในแต่ละมลรัฐ และผู้ต้องขังจำนวน 6,000 คน ที่ถูกควบคุมในรัฐบาลกลาง ปรากฏว่า ผู้ต้องขังจำนวนร้อยละ 49 ในแต่ละมลรัฐ และร้อยละ 24 ในรัฐบาลกลาง ได้มีการเสพเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และยาเสพติดในขณะที่กระทำผิด
โดยผู้ต้องขังในแต่ละมลรัฐ ร้อยละ 32 ยอมรับว่าขณะกระทำผิดตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ในขณะที่ร้อยละ 31 ยอมรับว่าตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของยาเสพติด และร้อยละ 14 ยืนยันว่าตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเครื่องดื่มที่ส่วนผสมของแอลกอฮอล์และยาเสพติดในขณะที่กระทำผิด
นอกจากนี้ ข้อมูลจากฝ่ายสถิติของกรมราชทัณฑ์ ประเทศแคนาดาในปี 1991 ได้แสดงให้เห็นว่า อาชญากรรมในคดีที่มีการใช้ความรุนแรงมักเกิดจากผู้กระทำผิดที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือทั้งเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และยาเสพติด มากกว่าผู้กระทำผิดที่ได้รับอิทธิพลจากยาเสพติดเพียงอย่างเดียว
และจากผลการศึกษาของ P.J. Goldstein(1998) โดยศึกษาถึงความสัมพันธ์ของการฆาตรกรรมกับยาเสพติด ปรากฎว่ามีเหยื่ออาชญากรรมที่ถูกฆาตรกรรมเสียชีวิตจำนวนไม่มากนักที่เกิดจากผู้กระทำผิดอยู่ภายใต้อิทธิพลของยาเสพติด ในขณะที่การฆาตรกรรมส่วนใหญ่ผู้กระทำผิดมักตกอยู่ภายใต้อิทธิพลเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
รวมทั้งจากผลการศึกษาการฆาตรกรรม จำนวน 218 คดี ในนิวยอร์ค ในปี 1998 โดยมีสมมติฐานว่า การฆาตรกรรมดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับยาเสพติด ผลการศึกษาปรากฎว่า การฆาตรกรรม ร้อยละ14 มีความสัมพันธ์กับอิทธิพลของยาเสพติดที่กระตุ้นให้เกิดการใช้ความรุนแรง ในขณะที่การฆาตรกรรมร้อยละ 74 มีความสัมพันธ์กับการฆาตรกรรมในตลาดมืดของการค้ายาเสพติดและการลำเลียงยาเสพติด
จากผลการศึกษาของ S.Brochu (1999) เพื่อศึกษาถึงความสัมพันธ์ของผลกระทบของยาเสพติดที่มีต่อสภาพจิตใจและพฤติกรรมอาชญากร ปรากฏว่า
- ผู้ต้องขังร้อยละ 28 เคยกระทำผิดในทุกประเภทคดีหรืออย่างน้อยหนึ่งคดี โดยได้รับอิทธิพลมาจากการเสพยาเสพติด
- ผู้ต้องขังร้อยละ 44 ของผู้ต้องขังที่เคยมีประวัติเสพยาเสพติด เชื่อว่าการเสพยาเสพติดมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการประกอบอาชญากรรม ในขณะที่ร้อยละ 51 เห็นว่ายาเสพติดไม่มีส่วนหรือกระตุ้นให้เกิดการประกอบอาชญากรรม และร้อยละ 5 เห็นว่าการเสพยาเสพติดทำให้ความสามารถในการประกอบอาชญากรรมลดลง
นอกจากนี้ผู้ต้องขังประมาณร้อยละ 80 ที่ถูกจับกุมในวันที่เสพยาเสพติดและกระทำผิด เห็นว่า การเสพยาเสพติดทำให้สามารถประกอบอาชญากรรมได้ง่ายขึ้น และผู้ต้องขังในกลุ่มนี้ร้อยละ 83.1 เห็นว่าการเสพยาเสพติดทำให้การตัดสินใจเปลี่ยนแปลง ร้อยละ 33.6 เห็นว่าทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทมากขึ้น และร้อยละ 37 เห็นว่าการเสพยาเสพติเด ทำให้มีพฤติกรรมก้าวร้าวและชอบใช้ความรุนแรงมากขึ้น
สำหรับข้อมูลของความสัมพันธ์ระหว่างฤทธิ์ของยาเสพติดที่มีต่อสภาพจิตใจ และการประกอบอาชญากรรมในประเทศไทย จะเห็นได้จากข้อมูลจากสื่อมวลชนที่มีการนำเสนอ เกี่ยวกับผู้เสพยาเสพติดโดยเฉพาะยาบ้า แล้วมีอาการคลุ้มคลั่งทำร้ายผู้อื่นผ่านทางสื่ออยู่เสมอ
นอกจากนี้ จากผลการศึกษาของนัทธี จิตสว่างและคณะ(2544) เรื่อง “เส้นทางชีวิตของผู้ต้องขังในคดียาเสพติด ” ได้แสดงให้เห็นถึง เส้นทางชีวิตของผู้เสพซึ่งมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน และ ได้รับผลกระทบจากการเสพยาเสพติด ดังนี้
ผู้เสพยาบ้ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 7.8 เมื่อเสพยาบ้าเข้าไปแล้วมักจะมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนบางอย่างอยู่นอกเหนือการควบคุมสติสัมปชัญญะ กล่าวคือ เมื่อเสพยาบ้าระยะเวลามากกว่า 3 ปีโดยเป็นผู้ติดลึก บางครั้งจะไม่สามารถควบคุมสติสัมปชัญญะได้ อาทิ เห็นคนมาทำร้ายทำให้ใช้มีดหรือปืนในการตอบโต้ผู้ที่เห็นว่าจะเข้ามาทำร้าย
ดังเช่นผู้เสพกลุ่มตัวอย่างรายหนึ่ง
เมื่อเสพยาบ้าแล้วจะมีอาการประสาทหลอน เห็นพ่อแม่เข้ามาทำร้าย จึงใช้มีดอีโต้ไล่ฟันพ่อแม่
โดยผู้เสพยาบ้ากลุ่มตัวอย่างที่เสพยาบ้าในปริมาณมากหรือเสพมาเป็นระยะเวลานาน (ผู้ติดลึก) จะมีอาการประสาทหลอนเกิดขึ้น อันส่งต่อการทำร้ายร่างกาย หรือ การฆ่าผู้อื่น เพราะไม่สามารถควบคุมสติสัมปชัญญะได้
ในขณะที่ผู้เสพเฮโรอีนกลุ่มตัวอย่าง จะไม่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนในลักษณะดังกล่าวข้างต้น หากแต่จะมีการก่ออาชญากรรมเพื่อให้ได้เงินมาซื้อยาเสพติดในการเสพเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งราวทรัพย์ การชิงทรัพย์ การลักทรัพย์ และ การปล้นทรัพย์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่างโดยส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้เสพยาบ้าหรือเฮโรอีน ร้อยละ 97.0 เห็นว่า ผู้เสพยาเสพติดที่ได้รับผลกระทบจากการใช้ยา โดยเฉพาะผู้เสพยาบ้าที่มีการคลุ้มคลั่งจับบุคคลเป็นตัวประกันหรือฆ่าบุคคลที่ใกล้ชิด อาทิ พ่อแม่ ลูกเมีย มีเป็นจำนวนน้อยเท่านั้น โดยผู้เสพกลุ่มดังกล่าวให้ความเห็นว่า
“ สื่อมวลชนนำเสนอข่าวที่รุนแรงเกินความเป็นจริง ผู้ที่เสพยาเสพติดแล้วมีอาการดังกล่าว มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น พวกที่ก่อเหตุมักจะเป็นผู้ที่ไม่รู้จักรักตัวเอง จึงเสพยาเสพติดในปริมาณมากเกินไป แต่หากเสพในปริมาณเหมาะสมก็จะไม่ทำให้มีลักษณะพฤติกรรมดังที่สื่อมวลชนเสนอข่าว ”
แม้ผลการศึกษาดังกล่าวข้างต้น จะแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเสพยาเสพติดและการประกอบอาชญากรรม โดยเฉพาะการเสพยาเสพติดในวันที่ผู้กระทำผิดได้ประกอบอาชญากรรม แต่ข้อมูลดังกล่าวอาจไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า ยาเสพติดมีความสัมพันธ์กับการประกอบอาชญากรรมอย่างแท้จริง
เพราะไม่มีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมอาชญากรรมจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนหากผู้กระทำผิดไม่ได้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของยาเสพติด แม้ว่าผู้กระทำผิดส่วนใหญ่จะเห็นว่าการเสพยาเสพติดมีส่วนให้เกิดอาชญากรรม โดยผู้กระทำผิดบางส่วนได้ใช้ยาเสพติดเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบอาชญากรรม แต่ผู้เสพยาเสพติดจำนวนมากอาจไม่ได้ประกอบอาชญากรรม
ดังจะเห็นได้จาก ยาเสพติดประเภทกัญชาซึ่งเป็นยาเสพติดที่มีคนเสพมาที่สุดในโลก โดยองค์การสหประชาชาติ ( UNDCP ) ได้รายงานจำนวนผู้เสพกัญชาไว้ในช่วงปี 1990-2000 จำนวน 144.1 ล้านคน จากจำนวนผู้เสพยาเสพติดทั่วโลกประมาณ 180 ล้านคน
D. Reilly and P. Didcott (1998) ได้ศึกษาผู้ติดลึกกัญชาในประเทศออสเตรเลีย โดยเป็นกลุ่มผู้ที่เสพกัญชาโดยมีระยะเวลาเฉลี่ย 20 ปี ผลการศึกษาปรากฏว่า ผู้เสพกัญชาส่วนใหญ่เสพเพื่อเป็นการสังสรรค์ การรวมกลุ่มทางสังคม เสพเพื่อบรรเทาความตึงเครียดเป็นการผ่อนคลาย รวมทั้งการเสพเพื่อความสนุกสนานทำให้มีความรู้สึกสดชื่นและอารมณ์ดี แม้จะทราบว่าการเสพกัญชาเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและอาจได้รับผลกระทบจากสังคมในการตีตราว่าเป็นผู้กระทำผิด แต่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ยังคงเห็นว่าการเสพกัญชาให้ประโยชน์มากกว่าโทษที่ได้รับ
ซึ่งกลุ่มตัวอย่างเมื่อมีการเสพกัญชาสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้โดยปกติ อาทิ การขับขี่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ตลอดจนยานพาหนะอื่น ๆ หรือ การทำงานร่วมกับเครื่องจักรกลภายหลังจากเสพกัญชาทันที
สำหรับการกระทำผิดกฎหมาย ปรากฏว่ากลุ่มตัวอย่างประมาณ 1 ใน 4 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด เคยถูกจับกุมในสถานภาพผู้ครอบครองกัญชา ( ร้อยละ26 ) การปลูกกัญชา ( ร้อยละ11 ) การจำหน่าย ( ร้อยละ 6 ) และอาชญากรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ( ร้อยละ 12 )
จากผลการศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นถึง ผู้ติดลึกในยาเสพติดประเภทกัญชา ซึ่งโดยเฉลี่ยมีระยะเวลาในการเสพประมาณ 20 ปีโดยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดประเภทอื่น ไม่ได้ประกอบอาชญากรรมในปริมาณที่มากหรืออาชญากรรมอุกฉกรรจ์แต่อย่างใด
นอกจากนี้ ผู้กระทำผิดบางส่วนอาจใช้ยาเสพติดเป็นเพียงข้อแก้ตัวแทนการรับผิดชอบต่อความผิดที่ได้กระทำ ดังเช่นผลการศึกษาทัศนคติของประชาชนในแคนาดาในปี 1998 ต่อการที่ผู้กระทำผิดอ้างว่ากระทำผิดเนื่องจากการใช้ยาเสพติดของA.paglia and R.Room (1998) ปรากฎว่ากลุ่มตัวอย่างจำนวน 3 ใน 4 เห็นว่าการให้เหตุผลว่าดื่มสุราในวันที่ประกอบอาชญากรรมของผู้กระทำผิด สามารถใช้เป็นข้ออ้างหรือข้อแก้ตัวของการผู้กระทำผิดได้อย่างดี
และ S.Brochu (1995) ได้กล่าวว่า ในขณะที่ผลกระทบของการเสพยาเสพติดที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาทเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป แต่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับฤทธิ์ของยาเสพติดที่กระตุ้นให้เกิดการใช้ความรุนแรงหรือการประกอบอาชญากรรมอาจยังมีข้อมูลที่ไม่เพียงพอ เนื่องจากความสลับซับซ้อนของตัวแปรจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของการเสพยาเสพติดและการประกอบอาชญากรรม อันได้แก่
- ประเภทของยาเสพติดที่ผู้เสพใช้ โดยเฉพาะหากมีการใช้ยาเสพติดมากกว่า 1 ประเภท ยาเสพติดประเภทใดที่มีผลต่อการใช้ความรุนแรงหรือการประกอบอาชญากรรม
- วิธีการเสพยาเสพติดที่แตกต่างกันมีผลต่อการใช้ความรุนแรงหรือการประกอบอาชญา-กรรมต่างกันหรือไม่
- ปริมาณยาเสพติดที่ผู้เสพใช้เสพ ปริมาณเท่าใดที่มีผลกระทบต่อการใช้ความรุนแรงหรือการประกอบอาชญากรรม รวมทั้งยาเสพติดจะมีผลกระทบมากน้อยเพียงใดต่อผู้เสพย่อมขึ้นอยู่กับน้ำหนัก , ความสูง , เพศ , และบุคลิคลักษณะของผู้เสพหรือไม่
- อารมณ์และ สุขภาพของผู้เสพตลอดจนความคาดหวังต่อการใช้ยามีผลต่อการประกอบอาชญากรรมหรือไม่
- สภาพแวดล้อมทางสังคม เช่น สภาพแวดล้อมในชุมชน และ การคบเพื่อน ซึ่งมีส่วนกระตุ้นใหเกิดการใช้ความรุนแรงและการประกอบอาชญากรรมหรือไม่
ดังนั้น การอธิบายความสัมพันธ์ของยาเสพติดกับอาชญากรรม โดยใช้รูปแบบความสัมพันธ์ของยาเสพติดที่มีผลต่อสภาพจิตใจและการประกอบอาชญากรรม (Psychopharmacological link ) อาจไม่สามารถอธิบายได้อย่างแท้จริงว่า เหตุใดผู้เสพยาเสพติดส่วนใหญ่จึงไม่ประกอบอาชญากรรมที่มีความรุนแรง
หรืออาจกล่าวได้ว่า เหตุผลของการประกอบอาชญากรรม อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของยาเสพติด แต่เพียงประการเดียว
2. ความสัมพันธ์ระหว่างการบีบบังคับทางเศรษฐกิจ ( The Economic – compulsive link )
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างยาเสพติดและการประกอบอาชญากรรมอีกรูปแบบหนึ่ง คือ การที่ผู้เสพยาเสพติดประกอบอาชญากรรมเพื่อให้ได้เงินมาซื้อยาเสพติดเพื่อเสพ โดยเชื่อว่า ความต้องการยาเสพติดเพื่อเสพตลอดจนราคายาเสพติดที่มีราคาแพง ในขณะที่ผู้เสพประสบปัญหาทางด้าน เศรษฐกิจ เป็นสิ่งสำคัญที่บีบบังคับให้ผู้เสพยาเสพติดต้องประกอบอาชญากรรม
ดังจะเห็นได้จาก ผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดจำนวนมากที่ถูกจับในข้อหาลักขโมย และได้ให้เหตุผลว่ากระทำความผิดเพื่อต้องการให้ได้เงินมาเสพยาเสพติด ซึ่งอาจเนื่องมาจาก ยาเสพติดที่มีราคาแพง รวมทั้งการถูกตีตราจากสังคมทำให้ไม่สามารถหาเงินโดยสุจริตมาซื้อยาเสพติดได้
สำหรับผลการศึกษาที่ยืนยันแนวความคิดนี้ ได้แก่
รายงานจากตำรวจในมลรัฐ บริติชโคลัมเบียประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1994 ได้เปิดเผยว่า ผู้เสพยาเสพติดเป็นเวลานานประเภทติดลึก ได้ประกอบอาชญากรรมเพื่อนำเงินมาซื้อยาเสพติดเพื่อเสพ โดยตำรวจได้ประมาณว่า อาชญากรรมประมาณร้อยละ 60 ที่เกิดขึ้น ได้มีแรงดึงดูดใจมาจากการเสพยาเสพติด
นอกจากนี้ จากการรายงานอาชญากรรมของตำรวจในเมืองโตรอนโตประเทศแคนาดาในปี 1995 ปรากฏว่าอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์สิน เช่น การลักขโมย การงัดแงะอาคารบ้านเรือน และการต้มตุ๋นหลอกลวง รวมทั้งโสเภณี ผู้กระทำผิดส่วนใหญ่กระทำผิดเนื่องจากต้องการให้ได้เงินมาซื้อยาเสพติดเพื่อเสพ
รวมทั้งผลการศึกษาของ C.Forget (1990) ซึ่งได้ศึกษาผู้ต้องขังในประเทศแคนาดา ก็มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนแนวความคิดนี้ โดยผู้ต้องขังจำนวนมากกว่า 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งถูกควบคุมตัวในสถานกักขัง Montreal ( Montreal Detention Center ) ได้ให้เหตุผลของการประกอบอาชญากรรมว่า เพื่อให้ได้เงินมาซื้อยาเสพติดเพื่อเสพ
และผลการศึกษาของ S.Brochu (1999) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า 2 ใน 3 ของ ผู้ต้องขังที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลกลางของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ใช้ยาเสพติดในวันที่ประกอบอาชญากรรม ได้ให้เหตุผลว่า ประกอบอาชญากรรมเพื่อให้ได้เงินมาซื้อยาเสพติด โดยประกอบอาชญากรรมเกี่ยวกับการลักขโมย ( มากกว่าร้อยละ 83 ) , ปล้นจี้ ( ร้อยละ 78 ) , ต้มตุ๋นหลอกลวง ( ร้อยละ 70 ) และการงัดแงะอาคารบ้านเรือน ( ร้อยละ 68 )
นอกจากนี้ ผลการศึกษาดังกล่าวได้ยืนยันให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ยาเสพติดที่มีราคาแพงและการประกอบอาชญากรรม โดยผู้เสพยาเสพติดประเภทโคเคนซึ่งเป็นยาเสพติดที่มีราคาแพงประมาณร้อยละ 68 ยอมรับว่าประกอบอาชญากรรมเพื่อให้ได้เงินมาเสพยาเสพติด
อย่างไรก็ตาม สำหรับยาเสพติดที่มีราคาแพง เช่น เฮโรอีนและโคเคน การใช้จ่ายเงินในการเสพของผู้เสพในประเทศแคนาดาอาจแตกต่างกันไป แต่สามารถสรุปได้ว่า ผู้เสพยาเสพติดดังกล่าวมีรายได้หลักจาก 3 ด้าน คือ จากระบบประกันสังคม , การประกอบอาชญากรรมและการค้ายาเสพติด
จากผลการศึกษาประชาชนในเมือง Quobec ประเทศแคนาดาในปี 1990 แสดงให้เห็นว่า ค่าใช้จ่ายของผู้เสพโคเคนทุกวัน มีจำนวนเฉลี่ยประมาณปีละ 43,000 เหรียญ ส่วนผู้เสพเฮโรอีนในเมืองโตรอนโต(Toronto) มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 3,313 เหรียญ สำหรับการเสพเฮโรอีน ใน 30 วัน ผู้เสพส่วนใหญ่ร้อยละ 89 ซึ่งถูกจับกุม ได้ยอมรับว่าก่อนหน้านี้เคยถูกจับกุมในคดีที่เกี่ยวข้องกับการเสพยาเสพติด และการประกอบอาชญากรรมเพื่อให้ได้ยาเสพติดหรือได้เงินมาซื้อยาเสพติด
นอกจากนี้ จากการศึกษาผู้กระทำผิดในประเทศอังกฤษ ของ Trevor Bennett (2000) ปรากฎว่าผู้กระทำผิดที่ถูกจับกุมส่วนใหญ่ร้อยละ 70 กระทำผิดเนื่องจากต้องการเงินมาซื้อยาเสพติดเพื่อเสพ
ส่วนผลการศึกษาผู้กระทำผิดในกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ของ M.Grapendaal, E.Leuw and H.Nelen (1995) พบว่าผู้เสพเฮโรอีนบางส่วนประกอบอาชญากรรมเพื่อให้ได้เงินมาซื้อยาเสพติดเพื่อเสพ ซึ่งรายได้ดังกล่าวเป็นเพียง 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งหมด โดยผู้กระทำผิดมีรายได้หลักส่วนใหญ่จากระบบประกันสังคมเช่นเดียวกับผู้เสพยาเสพติดในกรุงโตรอนโตประเทศแคนาดา
อย่างไรก็ตาม ความถี่หรือปริมาณอาชญากรรมที่เกิดขึ้นยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการเสพยาเสพติดเป็นสำคัญ กล่าวคือ ในระยะเวลาที่ผู้เสพยาเสพติดมีความต้องการยาเสพติดมากการประกอบอาชญากรรมก็จะมีปริมาณมากตามไปด้วย โดยผลการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา , อังกฤษ และ ออสเตรเลีย ได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณการเสพยาเสพติดที่มากและปริมาณอาชญากรรมที่สูงตามไปด้วย
ตัวอย่างเช่น ผลการศึกษาจาก New – ADAM ( New English and Welsh Arresstee Drug Abuse Monitoring ) (2,000) ได้แสดงให้เห็นว่า ผู้กระทำผิดที่มีการจ่ายเงินประมาณ 100 ปอนด์หรือมากกว่านี้ต่อการเสพยาเสพติด จะมีการกระทำผิดมากกว่าผู้กระทำผิดไม่ได้ใช้จ่ายเงินในการเสพยาเสพติดประมาณ 10 เท่า
เมื่อจำแนกผู้เสพยาเสพติดตามปริมาณการเสพยาต่อการประกอบอาชญากรรม ปรากฏว่า
- ผู้เสพยาเสพติดเป็นครั้งคราว โดยส่วนใหญ่ไม่ต้องการพัฒนาเป็นผู้ติดลึกและไม่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนที่เกิดจากการเสพยาเสพติด ดังนั้นการประกอบอาชญากรรมเพื่อให้ได้เงินมาเสพยาเสพติดจึงมีไม่มากนักเนื่องจากผู้เสพใช้เงินส่วนตัวในการซื้อยาเสพติดเพื่อเสพ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนก่อนเสพยาเสพติด จะมีการประกอบอาชญากรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของตนรวมทั้งเพื่อต้องการเพิ่มรสชาติความแปลกใหม่ให้กับชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างยาเสพติดและอาชญากรรมในกลุ่มนี้จะพบมากในกลุ่มวัยรุ่นเป็นสำคัญ
- สำหรับผู้ติดยาเสพติดประเภทผู้ติดลึกแม้จะมีการประกอบอาชญากรรมมากขึ้น แต่ยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ประเภทยาเสพติดที่ใช้ สภาพแวดล้อม เพื่อน วิถีชีวิต ปัจจัยกระตุ้น สภาพเศรษฐกิจ และ สังคม เป็นต้น
ดังจะเห็นได้จากผลการวิจัยในกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ของ M.Grapendaal, E.Leuw and H.Nelen (1995) ที่พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ถูกจับกุมร้อยละ 24 ประกอบอาชญากรรมเพื่อให้ได้เงินมาซื้อยาเสพติดเพื่อเสพ ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 21 ไม่ได้ประกอบอาชญากรรมเนื่องจากรายได้สำคัญมาจากระบบประกันสังคม
จึงอาจกล่าวได้ว่า การประกอบอาชญากรรมเพื่อให้ได้เงินมาเสพยาเสพติดจึงไม่ใช่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือเป็นเส้นทางเดียวที่ผู้เสพยาเสพติดจะเลือกกระทำ เพราะมีผู้เสพยาเสพติดอีกจำนวนมากที่แม้จะมีการเสพยาเสพติดที่มีราคาแพงแต่ก็ไม่ได้ประกอบอาชญากรรม เพราะมีการทำงานโดยสุจริตเพื่อเพิ่มรายได้ อาทิ การทำงานล่วงเวลา การทำงานหนัก การยืมเงินจากเพื่อน หรือ ครอบครัว รวมทั้งการลดรายจ่ายลง
และจากผลการศึกษาของ S.Brochu (1995) ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ติดยาเสพติดจำนวนมากพยายามที่จะหยุดเสพยาเสพติดหรือเสพยาเสพติดในปริมาณที่ไม่มากแทนการประกอบอาชญากรรม ในขณะที่มีเพียงส่วนน้อยที่หันไปสู่การประกอบอาชญากรรม อาทิ การเป็นโสเภณี และการเป็นผู้ค้ายาเสพติด เป็นต้น
สำหรับข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างการบีบบังคับทางเศรษฐกิจ ( The Economic – compulsive link ) และการประกอบอาชญากรรมในประเทศไทย มีผลการศึกษาปรากฏไม่มากนัก กล่าวคือ
การศึกษาเรื่อง “ ความสัมพันธ์ของการติดยาเสพติดกับการก่ออาชญากรรม ” ของชวลิต ยอดมณีและคณะ (2536) ปรากฏว่า ยาเสพติดมีความสัมพันธ์กับการเกิดอาชญากรรม โดยมีค่าความสัมพันธ์ (Cramer’s v) เท่ากับ 0.68 ซึ่งแสดงว่าหากจำนวนผู้ติดยาเสพติดมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจะส่งผลให้ปัญหาอาชญากรรมเพิ่มขึ้นด้วย โดยผู้ต้องหาส่วนใหญ่จะกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเท่านั้น รองลงมาคือต้องการเงินเพื่อนำไปซื้อยาเสพติด หรือใช้จ่ายอื่น ๆ โดยผู้ต้องหาที่ติดยาเสพติดส่วนใหญ่ติดยาเสพติดก่อนก่อคดีครั้งแรก
นอกจากนี้ จากผลการศึกษาเรื่อง “เส้นทางชีวิตผู้ต้องขังในคดียาเสพติด” ของนัทธี จิตสว่าง และ คณะ (2544) ปรากฏว่าทั้งผู้เสพยาบ้าและ เฮโรอีนกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ37.0 ได้เงินจากการประกอบอาชญากรรม โดยบางคนขโมยเงินจากที่บ้านหรือจากพ่อแม่ของตน การวิ่งราวทรัพย์ การลักทรัพย์ และการปล้นทรัพย์
ตัวอย่างเช่น ผู้เสพกลุ่มตัวอย่างรายหนึ่ง
ได้หาเงินมาใช้ในการเสพยาเสพติดโดยการปล้นทรัพย์ ซึ่งมีพฤติกรรมเริ่มจากการขโมย ลักทรัพย์ในหมู่บ้านต่าง ๆ ในขณะที่เจ้าทรัพย์ไม่อยู่บ้าน แต่หากมีเจ้าทรัพย์อยู่ที่บ้านจะใช้วิธีการปล้น คือ การใช้ปืนขู่บังคับให้นำทรัพย์สินมีค่ามาให้ หากเจ้าของบ้านต่อสู้จะมีการทำร้ายร่างกาย โดยผู้เสพรายนี้เคยร่วมกันฆ่าเจ้าของทรัพย์และหนีรอดไปได้ ซึ่งมักจะกระทำผิดกับเพื่อนเป็นกลุ่มประมาณ 6 – 10 คน
และผู้เสพกลุ่มตัวอย่างรายหนึ่ง มีวิธีการในการหาเงินมาเสพยาเสพติด
โดยการขโมยหมวกกันน็อค ตามสถานที่ต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร ที่มีผู้จอดรถจักรยานยนต์จำนวนมาก อาทิ บริเวณสนามบินดอนเมือง โรงเรียนต่าง ๆ โดยแต่ละวันสามารถขโมยหมวกกันน็อคได้ ไม่ต่ำกว่า 20 ใบ บางวันสามารถขโมยได้จำนวนถึง 100 ใบ โดยนำไปจำหน่ายในราคาตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป จึงสามารถนำเงินมาเสพยาเสพติดได้โดยไม่เคยถูกจับกุมแม้แต่ครั้งเดียว
รวมทั้งกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 33.0 ได้เงินมาซื้อยาเสพติดจากการเป็นผู้ค้ารายย่อยและการรับจ้างเดินยอด คือ ตนเองไม่ได้เป็นผู้ขายเองแต่จะเป็นผู้ที่ไปซื้อยามาให้แล้วให้คนใกล้ชิดเช่นเพื่อนเป็นคนขาย โดยได้รับค่าจ้างเป็นยาเสพติดแทนตัวเงินหรืออาจได้รับค่าจ้างเป็นค่าตอบแทน อย่างไรก็ตาม จากผลการศึกษายังแสดงให้เห็นถึง ผู้เสพบางส่วนได้หาเงินด้วยวิธีการสุจริต อาทิ การขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง
ประเภทของอาชญากรมที่กระทำโดยผู้เสพยาเสพติด
มีผลการศึกษาจำนวนมากของต่างประเทศที่แสดงให้เห็นว่า อาชญากรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับยาเสพติดโดยทั่วไปเป็นอาชญากรรมที่ให้ได้เงินมาซื้อยาเสพติดและเป็นอาชญากรรมที่ไม่มีความรุนแรง แม้ว่าจะมีการประกอบอาชญากรรมโดยใช้ความรุนแรงแต่อาชญากรรมประเภทนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก หากแต่มักจะเป็นข่าวมากกว่าอาชญากรรมที่ไม่มีความรุนแรง สำหรับสาเหตุของการใช้ความรุนแรงมักขึ้นกับสถานการณ์ เช่น การไม่ให้ความยินยอมของเหยื่อเมื่อมีการประทุษร้ายต่อทรัพย์ การใช้ความรุนแรงจึงอาจขาดเจตนาหรือไม่ได้มีการเตรียมการณ์ล่วงหน้าดังเช่นอาชญากรรมประเภทอื่น ๆ
สำหรับอาชญากรรมที่ผู้ติดยาเสพประเภทติดลึกและไม่มีเงินในการซื้อยาประกอบอาชญากรรม ได้แก่ การเป็นผู้ลำเลียงยาเสพติด โสเภณี การลักขโมยทรัพย์สิน การงัดแงะอาคารบ้านเรือน และการต้มตุ๋นหลอกลวง โดยส่วนใหญ่เป็นอาชญากรรมที่ไม่ได้อาศัยความชำนาญพิเศษแต่อย่างใด และมีโอกาสเสี่ยงน้อยต่อการถูกจับดำเนินคดี
อาชญากรรมที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จึงมักเป็นการลักขโมยภายในอาคารบ้านเรือน ที่ทำงาน หรือในร้านค้า ซึ่งเป็นเพียงการโจรกรรมทรัพย์สินที่มีมูลค่าไม่มากนัก เช่น จักรยาน หรือ ชิ้นส่วนเครื่องจักรกล รวมทั้งการเป็นผู้ค้ารายย่อยเพื่อแลกกับยาเสพติดหรือเงิน ในขณะที่ผู้หญิงมักจะมีการค้าประเวณีเพื่อให้ได้เงินมาซื้อยาเสพติด
แนวคิดของความสัมพันธ์ระหว่างภาวะเศรษฐกิจที่บีบบังคับให้ต้องประกอบอาชญากรรม เพื่อให้ได้เงินมาซื้อยาเสพติด อาจมีการโต้แย้งในประเด็นที่ว่า อาชญากรรมที่เกิดขึ้นในกลุ่มผู้ติดยาเสพติดประเภทติดลึกอาจเกิดขึ้นโดยไม่เกี่ยวกับความต้องการเงินมาซื้อยาเสพติด และผู้ติดยาเสพติดจำนวนมากอาจประกอบอาชญากรรมมาก่อนที่จะเสพยาเสพติด เมื่อเสพยาเสพติดแล้วยังคงประกอบอาชญากรรมต่อไป รวมทั้งมีผู้เสพยาเสพติดจำนวนมากที่ไม่ได้ประกอบอาชญากรรม
3. ความสัมพันธ์ของเครือข่ายหรือขบวนการค้ายาเสพติด ( The systemic link )
ยาเสพติดและอาชญากรรมมีความสัมพันธ์กัน เนื่องจากสาเหตุของเครือข่ายขบวนการค้ายาเสพติดในตลาดค้ายาเสพติดที่การใช้ความรุนแรงในการประกอบธุรกิจ ไม่มีกฎหมายที่ให้การคุ้มครอง รวมทั้งการแข่งขันระหว่างผู้ค้ายาเสพติด ปัญหาเรื่องหนี้สินและการปกป้องผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมาย ในขบวนการค้ายาเสพติด
จากข้อมูลรายงานในปี 1997 ของตำรวจในประเทศแคนาดา พบว่าผู้ค้ายาเสพติดที่ถูกจับกุมได้ร้อยละ 56 ยอมรับว่าเคยใช้ความรุนแรงในการประกอบอาชญากรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เนื่องจากการแย่งส่วนแบ่งการตลาดและการตัดราคา นอกจากนี้คดีที่เกี่ยวกับฆาตกรรมทั้งหมดปรากกฎว่าเป็นคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับยาเสพติดร้อยละ 12 โดยเฉพาะเมื่อสิ้นสุดการประกาศสงครามกับยาเสพติดในปี 1998 ปรากฏว่าคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยมีคดีฆาตกรรม 103 คดี พยายามฆ่า 129 คดี การฆ่าผิดคน 9 คดี การก่อคดีวางระเบิด 84 คดี และลอบวางเพลิง 130 คดี รวมมีคดีอาชญาอุจฉกรรจ์ที่เกิดขึ้น 450 คดี
และจากคดีฆาตกรรมในมลรัฐนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกาปี 1980 พบว่าการฆาตกรรมจำนวนร้อยละ 74 เกิดจากการค้ายาเสพติดหรือมีความเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด
สำหรับข้อมูลของประเทศไทย แม้จะมีผลการศึกษาในประเด็นนี้ค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลประกาศสงครามยาเสพติดในพ.ศ.2545 มีจำนวนผู้ค้ายาเสพติดที่ถูกฆาตกรรมจำนวนมาก ดังปรากฏในการนำเสนอของสื่อมวลชนซึ่งมีผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจำนวนกว่า 2,000 รายที่ถูกฆาตรกรรม
รวมทั้งจากผลการศึกษา “ เส้นทางชีวิตของผู้ต้องขังในคดียาเสพติด ” ของ นัทธี จิตสว่างและ คณะ(2544) ปรากฏว่าปัญหาและอุปสรรคในการค้ายาเสพติดของกลุ่มผู้ค้ารายย่อยที่อาจนำไปสู่การประกอบอาชญากรรม ได้แก่ ปัญหาการถูกหักหลังจากเพื่อน ลูกน้อง และผู้ร่วมขบวนการค้ายาเสพติด รวมทั้งปัญหาการแย่งลูกค้ากันโดยการตัดราคาเพื่อให้ยาเสพติดราคาต่ำสุด
ในขณะที่ปัญหาและอุปสรรคในการค้ายาเสพติดของกลุ่มผู้ค้ารายใหญ่ที่อาจนำไปสู่การประกอบอาชญากรรมที่สำคัญ ได้แก่ ปัญหาการหักหลังกันในขบวนการค้ายาเสพติด
โดยมีกลุ่มตัวอย่างรายหนึ่งยอมรับว่าถูกจับกุมเพราะลูกน้องหักหลัง จึงตอบแทนลูกน้องที่หักหลังด้วยการแลกด้วยชีวิต
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างเครือข่ายหรือขบวนการค้ายาเสพติด ( The systemic link ) และการประกอบอาชญากรรม มีเหยื่ออาชญากรรมจำนวนน้อยมากที่เข้าแจ้งความกับตำรวจ ทำให้ขาดข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับอาชญากรรมประเภทนี้และไม่สามารถที่จะประเมินความแตกต่างของอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจากแนวคิดนี้และอาชญากรรมโดยทั่วไป
นอกจากแนวความคิดทั้ง 3 รูปแบบ ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างยาเสพติดกับอาชญากรรมโดยตรงดังกล่าวข้างต้น การเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอาจก่อให้เกิดอาชญากรรมทางอ้อมได้ โดยทั้งผู้เสพและผู้ค้ายาเสพติดอาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข อาทิ การเล่นการพนัน เนื่องจากผู้เสพและผู้ค้ายาเสพติดบางส่วนอาจหาเงินมาง่าย รวมทั้งมีพฤติกรรมที่ชอบเล่นการพนันมาก่อนเข้าสู่ขบวนการค้ายาเสพติด โดยเฉพาะผู้ค้ายารายใหญ่ ซึ่งเล่นการพนันนอกเหนือจากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นแล้วยังมีการเล่นการพนันเพื่อเป็นการสังสรรค์ระหว่างกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดด้วยกัน ซึ่งการเล่นการพนันเป็นอาชญากรรมประเภทหนึ่ง รวมทั้งเป็นอบายมุขที่อาจเป็นลูกโซ่ของอาชญากรรมอื่น ๆ นั่นเอง รวมทั้งผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่บางรายเมื่อได้รับค่าตอบแทนจากการค้ายาเสพติดในปริมาณที่สูง อาจทำตัวเป็นเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลและมีอำนาจเหนือคนอื่น รวมทั้งการก่อคดีทะเลาะวิวาทหากเกิดกรณีขัดแย้งกับกลุ่มบุคคลอื่น ๆ
สรุป ความสัมพันธ์ระหว่างยาเสพติดและอาชญากรรมอาจอธิบายได้ถึงความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อน 3 รูปแบบด้วยกัน คือ
1. ความสัมพันธ์ของฤทธิ์ยาเสพติดที่มีต่อสภาพจิตใจและอาชญากรรม
( The psychopharmacological link )
อาชญากรรมเกิดขึ้นเนื่องจากฤทธิ์ของยาเสพติดที่มีการกระตุ้นให้ผู้เสพมีการใช้ความรุนแรงและไม่สามารถควบคุมการกระทำของตัวเองได้
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันว่าอาชญากรรมจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนหากผู้กระทำผิดไม่ได้เสพยาเสพติด รวมทั้งอาจเป็นข้ออ้างการขาดความรับผิดชอบของผู้กระทำผิด โดยอาชญากรรมน่าจะเป็นผลมาจากปัจจัยอื่น ๆ นอกเหนือจากยาเสพติด อาทิ บุคลิกลักษณะของผู้ใช้ยาเสพติด สภาพแวดล้อมทางสังคม การคบเพื่อน เป็นต้น เพราะมีผู้เสพยาเสพติดเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้ประกอบอาชญากรรม
2. ความสัมพันธ์ระหว่างการบีบบังคับทางเศรษฐกิจ และ อาชญากรรม
( The Economic – Complusive link )
อาชญากรรมเกิดขึ้นเนื่องจากผู้เสพยาเสพติดไม่มีเงินจึงหันไปประกอบอาชญากรรมเพื่อให้ได้เงินมาซื้อยาเสพติดเพื่อเสพ แต่ในทางตรงกันข้ามมีผู้กระทำผิดเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้ประกอบอาชญากรรม โดยมีการทำงานสุจริต รวมทั้งการพยายามลดปริมาณยาที่เสพลงมากกว่าการหันไปประกอบอาชญากรรม และผู้ที่ประกอบอาชญากรรมมาก่อนที่จะเสพยาเสพติด
3. ความสัมพันธ์ระหว่างความสัมพันธ์ของขบวนการค้ายาเสพติด และ อาชญากรรม
( The systemic link)
อาชญากรรมเกิดขึ้นเนื่องจากขบวนการค้ายาเสพติดที่มีการใช้ความรุนแรงในการประกอบธุรกิจ โดยมีการแข่งขัน แย่งลูกค้าและส่วนแบ่งการตลาด ปัญหาเรื่องหนี้สินและผลประโยชน์ทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม การขาดข้อมูลที่เกี่ยวกับอาชญากรรมประเภทนี้อย่างแท้จริงเนื่องจากเป็นขบวนการและการกระทำที่ผิดกฎหมายจึงมีเหยื่ออาชญากรรมจำนวนน้อยมากที่เข้าแจ้งความ ทำให้ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างอาชญากรรมประเภทนี้และอาชญากรรรมทั่วไปได้อย่างชัดเจน
รวมทั้งความสัมพันธ์ทางอ้อมที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้เสพและผู้ค้ายาเสพติดมีความเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม เนื่องจากการหาเงินมาได้ง่ายจึงยุ่งเกี่ยวกับการพนัน และการทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลก่อคดีทะเลาะวิวาท เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แม้ผลการศึกษาจำนวนมากของต่างประเทศจะชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของยาเสพติดกับอาชญากรรมในประเด็นต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น หากแต่ในสังคมไทยยังมีการศึกษาถึงความสัมพันธ์ดังกล่าวค่อนข้างน้อย จึงน่าจะได้มีการศึกษาถึงความสัมพันธ์ดังกล่าวในประเทศไทย เนื่องจากปัญหายาเสพติดนับเป็นปัญหาสังคมที่สำคัญและก่อให้เกิดผลกระทบด้านต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะในประเด็นของยาเสพติดประเภทต่าง ๆ ที่ระบาดในประเทศไทย ซึ่งมีความแตกต่างจากต่างประเทศ มีฤทธิ์ยาแตกต่างกัน ตลอดจนมีสภาพเศรษฐกิจสังคมที่แตกต่างกัน
รวมทั้งหากยาเสพติดและอาชญากรรมมีความสัมพันธ์กัน จะมีความสัมพันธ์กันในคดีอาชญากรรมประเภทใดมากกว่ากันและในผู้กระทำผิดประเภทใด
คำถามเหล่านี้ นับเป็นคำถามที่ท้าทายต่อการศึกษาหาคำตอบ ที่จะนำไปสู่การกำหนดนโยบายทางสังคม รวมทั้งการแก้ปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมในสังคมไทยต่อไป...
............................................
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545
กฎหมายฉบับนี้ได้แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ดังต่อไปนี้
(๑) เพิ่มเติมบทนิยามคำว่า "หน่วยการใช้" "ติดยาเสพติดให้โทษ" "การบำบัดรักษา" "ข้อความ" และ "โฆษณา" แก้ไขบทนิยามคำว่า
"สถานพยาบาล"และ "เภสัชกร" (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๔)
(๒) กำหนดให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการในการกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษแต่ละประเภทที่ผู้อนุญาตจะอนุญาตให้ผลิต นำเข้า จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองได้ (แก้ไขเพิ่มเติม
มาตรา ๘(๕) และเพิ่มมาตรา ๒๖/๑) และกำหนดให้อาจอนุญาตให้จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเฉพาะยาเสพติดให้โทษในประเภท ๒ เกินปริมาณที่
กำหนดเป็นกรณีพิเศษได้ (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๖๐)
กำหนดอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง
(แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๓(๗) )
(๔) กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจอนุญาตให้มีการผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑
และประเภท ๒ ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ และกำหนดบทสันนิษฐานเด็ดขาดใน
ข้อหาผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๕ และมาตรา ๑๖
๕) แก้ไขลักษณะต้องห้ามของผู้ขออนุญาตจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๒ เกี่ยวกับการกระทำความผิด
ตามกฎหมายต่าง ๆ เกี่ยวกับยาเสพติดให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๙(๓) )
(๖) จัดให้มีมาตรการควบคุมการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ (แก้ไขเพิ่มมาตรา ๒๐)
(๗) กำหนดให้ผู้ขอขึ้นทะเบียนตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ต้องรับผิดชอบชำระค่าใช้จ่ายในการตรวจวิเคราะห์ ์หรือประเมิน เอกสารทางวิชาการ (เพิ่มวรรคสามของมาตรา ๔๓)
"สถานพยาบาล"และ "เภสัชกร" (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๔)
(๒) กำหนดให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการในการกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษแต่ละประเภทที่ผู้อนุญาตจะอนุญาตให้ผลิต นำเข้า จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองได้ (แก้ไขเพิ่มเติม
มาตรา ๘(๕) และเพิ่มมาตรา ๒๖/๑) และกำหนดให้อาจอนุญาตให้จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเฉพาะยาเสพติดให้โทษในประเภท ๒ เกินปริมาณที่
กำหนดเป็นกรณีพิเศษได้ (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๖๐)
กำหนดอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง
(แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๓(๗) )
(๔) กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจอนุญาตให้มีการผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑
และประเภท ๒ ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ และกำหนดบทสันนิษฐานเด็ดขาดใน
ข้อหาผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๕ และมาตรา ๑๖
๕) แก้ไขลักษณะต้องห้ามของผู้ขออนุญาตจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๒ เกี่ยวกับการกระทำความผิด
ตามกฎหมายต่าง ๆ เกี่ยวกับยาเสพติดให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๙(๓) )
(๖) จัดให้มีมาตรการควบคุมการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ (แก้ไขเพิ่มมาตรา ๒๐)
(๗) กำหนดให้ผู้ขอขึ้นทะเบียนตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ต้องรับผิดชอบชำระค่าใช้จ่ายในการตรวจวิเคราะห์ ์หรือประเมิน เอกสารทางวิชาการ (เพิ่มวรรคสามของมาตรา ๔๓)
(๘) กำหนดให้มีการโฆษณาสรรพคุณยาเสพติดให้โทษในประเภท ๒ ต่อผู้ประกอบวิชาชีพได้ (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๔๘) ปรับปรุงมาตรการการควบคุมการโฆษณาเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ การบำบัดรักษา สถานพยาบาล และผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล (เพิ่มมาตรา ๔๘/๑ และมาตรา ๔๘/๒) และกำหนดให้ผู้ได้รับคำสั่งของผู้อนุญาตเกี่ยวกับการโฆษณาตามมาตรา ๔๘/๒ มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ต่อคณะกรรมการยาเสพติดให้โทษได้ (เพิ่มหมวด ๑๑/๑ การอุทธรณ์ มาตรา ๖๔/๑ และมาตรา ๖๔/๒
(๙) กำหนดเหตุให้ค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๔๙)
(๑๐) กำหนดให้พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจตรวจหรือทดสอบ หรือสั่งให้รับการตรวจ หรือทดสอบ ว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลมียาเสพติดให้โทษอยู่ในร่างกายหรือไม่ ทั้งนี้ เฉพาะกรณีจำเป็นและมีเหตุอันควร เชื่อได้ว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดเสพ ยาเสพติดให้โทษ (เพิ่มมาตรา ๕๘/๑)
(๑๑) ปรับปรุงบทกำหนดโทษ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ตามความร้ายแรงแห่งการกระทำความผิด (แก้ไขเพิ่มเติมบทกำหนดโทษในหมวด ๑๒)
(๙) กำหนดเหตุให้ค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๔๙)
(๑๐) กำหนดให้พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจตรวจหรือทดสอบ หรือสั่งให้รับการตรวจ หรือทดสอบ ว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลมียาเสพติดให้โทษอยู่ในร่างกายหรือไม่ ทั้งนี้ เฉพาะกรณีจำเป็นและมีเหตุอันควร เชื่อได้ว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดเสพ ยาเสพติดให้โทษ (เพิ่มมาตรา ๕๘/๑)
(๑๑) ปรับปรุงบทกำหนดโทษ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ตามความร้ายแรงแห่งการกระทำความผิด (แก้ไขเพิ่มเติมบทกำหนดโทษในหมวด ๑๒)
(๑๒) กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้เสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือผู้เสพและจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษจำนวนเล็กน้อยที่
สมัครใจเข้ารับการบำบัดรักษาและได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ ได้พ้นจากความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๙๔)
(๑๓) กำหนดให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับเป็นหลักในความผิดที่มีโทษจำคุกและปรับ (เพิ่มมาตรา ๑๐๐/๑)
( ๑๔) กำหนดให้ศาลลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำหากผู้กระทำความผิดให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการ
ปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ หรือพนักงานสอบสวน (เพิ่มมาตรา ๑๐๐/๒)
(๑๕) ปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติ
สมัครใจเข้ารับการบำบัดรักษาและได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ ได้พ้นจากความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๙๔)
(๑๓) กำหนดให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับเป็นหลักในความผิดที่มีโทษจำคุกและปรับ (เพิ่มมาตรา ๑๐๐/๑)
( ๑๔) กำหนดให้ศาลลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำหากผู้กระทำความผิดให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการ
ปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ หรือพนักงานสอบสวน (เพิ่มมาตรา ๑๐๐/๒)
(๑๕) ปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติ